logo-heading

แม้ฤดูกาลที่แล้ว บาร์เซโลน่า จะไปไม่ถึงฝั่งฝันในถ้วยยูฟ่า แชมเปี้นส์ ลีก หลังพลาดท่าพ่ายให้ ลิเวอร์พูล ไปในรอบรองชนะเลิศ แต่ โ๗เซป มาเรีย บาร์โตเมว ประธานสโมสร และบอร์ดบริหาร ก็ยังยิ้มแฉ่งได้สบายๆ หายห่วง เพราะผลประกอบการด้านการเงินเมื่อฤดูกาลที่แล้วนั้นดีโคตรๆ

ตามรายงานหน้าสื่อที่ถูกเปิดเผยออกมาระบุว่า บาร์เซโลน่า เข้าป้ายเป็นสโมสรที่ทำรายได้ตลอดทั้งซีซั่น 2018/19 ไปมากที่สุดในโลก รวมแล้ว 840.8 ล้านยูโร เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 22 เปอร์เซ็นต์ และทิ้งห่าง เรอัล มาดริด คู่ปรับตลอดกาลที่เข้าป้ายมาเป็นที่ 2 อยู่ถึง 83.5 ล้านยูโร เลยทีเดียว ทว่าการแพร่ระบาดอย่างหนักไปทั่วทั้งโลกของเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้นทำให้สถานการณ์ของ บาร์ซ่า กลับตาลปัตร ถึงขั้นเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านไปไม่ถึง 1 ปีดี บาร์ซ่า ต้องเปลี่ยนตัวเองจากทีมทำรายได้อันดับ 1 กลายเป็น ทีมที่ต้องดิ้นรนปรับตัวสู้กับพิษโควิด-19 ชนิดที่หากวางแผนไม่ดีพลาดท่ามา อาจถึงขั้นล้มละลายเลยก็เป็นได้! ปัจจุบัน บาร์เซโลน่า และอีกหลายๆ ทีม กำลังประสบปัญหาทางการเงินจากการโดนพิษโควิด-19 เล่นงาน แต่ บาร์ซ่า ดูท่าจะหนักหนากว่าใครเพื่อน โดยตามรายงานระบุว่า  นับตั้งแต่โควิด-19 เข้ามาบุกโลก "เจ้าบุญทุ่ม" สูญเสียรายได้ไปแล้วมากถึง 154 ล้านยูโร ซึ่งแม้สุดท้าย ลา ลีกา อาจจะกลับมาแข่งต่อในช่วงเดือนมิถุนายน แต่มันก็แทบไม่ได้ช่วยอะไรในเรื่องของรายได้ที่จะเข้าสโมสร เพราะนับตั้งแต่ที่รัฐบาลสเปน ประกาศล็อคดาวน์ปิดประเทศในวันที่ 14 มีนาคม พิพิธภัณฑ์ของบาร์ซ่า ที่ทำรายได้รวม 58 ล้านยูโร เมื่อปีที่แล้ว ก็ต้องถูกปิดไปด้วย ร้านค้าซูเปอร์สโตร์ที่ขายของที่ระลึกต่างๆ เกี่ยวกับสโมสรก็ต้องถูกปิดด้วยเช่นกัน ไหนจะรวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ปกติแล้วจะเสียตังค์เข้าทัวร์สนาม จับจ่ายซื้อของต่างๆ ก็เดินทางมาสเปนไม่ได้ รายได้ก็ขาดหายไปอีก นอกจาก พิพิธภัณฑ์กับซูเปอร์สโตร์แล้ว ปกติช่วงปิดฤดูกาลก็จะมีการทัวร์ปรี-ซีซั่น ไปเตะอุ่นเครื่องโชว์ตัวตามประเทศต่างๆ เพื่อกวาดรายได้เข้าสโมสร แต่ซัมเมอร์ปีนี้ก็ต้องยกเลิกไป ส่วนศูนย์ฝึกฟุตบอลสำหรับเยาวชนของ บาร์ซ่า อันเลื่องชื่ออย่าง "ลา มาเซีย" ก็มีค่าใช้จ่ายรวมๆ ทุกอย่างแล้วก็ 15 ล้านยูโร แต่เด็กๆ ก็มาฝึกปรือฝีเท้าไม่ได้ ทำให้โอกาสในการพัฒนาฝีเท้าก็หดหายตามไปอีกต่างหาก  สนามคัมป์นู ที่ความจุเกือบ 1 แสนคน ที่ฟันกำไรมหาศาลต่อการเตะในบ้าน 1 นัดของ บาร์เซโลน่า ก็ดูท่าจะต้องร้างไร้ผู้ชมไปอีกนาน เพราะต่อให้ ลา ลีกา กลับมาแข่งต่อ ก็ต้องแข่งแบบปิดสนามห้ามแฟนบอลเข้ามาชมเกม เรียกได้ว่า บาร์ซ่า ได้รับผลกระทบหมดทุกทางจริงๆ  มาถึงตอนนี้หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ทีมอื่นๆ ก็โดนพิษโควิดเล่นงานเช่นกัน ก็ขาดรายได้เหมือนกัน ทำไมพูดถึง บาร์ซ่า ทีมเดียว คำตอบคือ ใช่ครับ ทีมอื่นก็โดน แต่ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ได้โดนหนักเท่า บาร์ซ่า และมันก็มีเหตุผลด้านอื่นๆ อีกด้วย แน่นอนหละ ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดพิษโควิดระบาดหนักขนาดนี้ นั่นทำให้น้อยทีมนักที่จะวางแผน ปรับกลยุทธ์ทางการเงินรับมือกับเหตุการณ์นี้ได้ทัน ซึ่ง บาร์ซ่า ก็รับมือไม่ทันเช่นกัน 2-3 ฤดูกาลหลังมานี้ บาร์ซ่า ทุ่มเงินรวมแล้วเกือบ 400 ล้านยูโร คว้า 3 สตาร์ดังเข้ามาร่วมทีมทั้ง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, อุสมาน เดมเบเล่ และ อ็องตวน กรีซมันน์ แต่จนถึงตอนนี้ไม่มีใครฟอร์มดีคุ้มค่าตัวเลยสักคน! เท่านั้นไม่พอ เรื่องค่าเหนื่อยนักเตะที่ บาร์ซ่า ต้องจ่ายก็ถือเป็นปัญหาหนักที่พวกเขาต้องแบกรับมาสักพักใหญ่แล้ว บาร์เซโลน่า เป็นทีมที่จ่ายค่าเหนื่อยนักเตะรวมทั้งทีมมากที่สุดในโลก ณ เวลานี้ เฉลี่ยแล้วตกคนละ 11 ล้านยูโร ต่อปี ซึ่งรวมแล้วมากถึง 69% ของกำไรต่อปีที่สโมสรหามาได้ ซึ่งถือว่าสูง และเสี่ยงมากๆ ต่อการขาดทุน หากตัวเลขกำไรลดน้อยถอยลง และหากเทียบกับทีมคู่ปรับอย่าง เรอัล มาดริด นั้นก็ต่างกันพอสมควรเพราะ "ราชันชุดขาว" จ่ายค่าเหนื่อยนักเตะแค่ 52% จากกำไรของสโมสร วิธีนึงที่จะลดเพดานค่าเหนื่อยนักเตะลงได้ คือการโละนักเตะค่าเหนื่อยสูงที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน หรือสังขารเริ่มไม่อำนวยแล้วนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น อิวาน ราคิติช กองกลางวัย 32 ปี ที่เห็นได้ชัดว่า บาร์ซ่า พยายามจะเขี่ยเขาพ้นทีมเพื่อลดเพดานค่าเหนื่อย แต่ก็ยังอยากได้ค่าตัวที่สมน้ำสมเนื้อด้วย จะว่าไปแล้ว ยอดแข้งซูเปอร์สตาร์ประจำทีมก็เป็นอีกคนที่แม้จะเล่นคุ้มค่าจ้าง แต่ค่าเหนื่อยพี่แกก็แพงจริงๆ และก็เป็นส่วนสำคัญเลยด้วยที่ทำให้ บาร์ซ่า ขึ้นไปติดอันดับ 1 ทีมที่จ่ายค่าเหนื่อยนักเตะแพงสุดในโลก ว่ากันว่าตอนนี้ เมสซี่ รับค่าเหนื่อยอยู่ปีละ 26.5 ล้านยูโร ต่อปี นับตั้งแต่สะบัดหมึกต่อสัญญากับ บาร์ซ่า ออกไปอีก 4 ปี เมื่อปี 2017 แต่การที่จะขอ เมสซี่ ลดค่าเหนื่อยหนะหรอ ฝันไปเหอะ เลิกหวังได้เลย! จริงอยู่ที่ช่วงวิกฤติโควิดนี้ เหล่านักเตะทีมชุดใหญ่ของ บาร์เซโลน่า จะพร้อมใจกันหั่นค่าเหนื่อย 70% แต่เงินส่วนนี้ก็ถูกนำไปช่วยพยุงบุคลากรในแผนกอื่นๆ ของ บาร์เซโลน่า คือมันก็ช่วยแบ่งเบาภาระของสโมสรได้ แต่อิมแพ็คมันก็ไม่ได้เยอะแยะอะไรขนาดนั้น และสุดท้ายไม่ช้าก็เร็วก็ต้องกลับมาจ่ายเต็มจำนวนเหมือนเดิมอยู่ดี ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ก็ดูหนักหนาพอสมควรแล้วนะสำหรับ บาร์เซโลน่า แต่ยังครับ แม้พวกเขาจะหารายได้ในปีที่แล้วได้เยอะมากๆ แต่ก็เป็นหนี้เยอะมากเช่นกัน อันเนื่องมาจากโปรเจ็กต์การปรับปรุงสนาม คัมป์ นู ใหม่ ในโครงการที่ชื่อว่า "เอสปาย บาร์ซ่า โปรเจ็คต์" ที่ตอนนี้ทำให้สโมสรมีหนี้ติดตัวมากหลายร้อยล้านยูโร โดยถ้าอิงตามที่สื่อรายงาน บาร์ซ่า มีหนี้อยู่ 888 ล้านยูโร แต่ทางสโมสรก็ออกมาแก้ต่างว่าแท้จริงแล้วไม่ถึงจริงๆ มันแค่ 460 ล้านยูโรเท่านั้นเอง ซึ่ง วิคเตอร์ ฟ้อนท์ ผู้ที่ประกาศตัวว่าจะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานสโมสร บาร์เซโลน่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นนี้ไว้ดด้วยว่า "สโมสรติดหนี้เยอะมากๆ มันมากกว่าที่พวกเขาชี้แจงอีก มันเป็นอะไรที่เราและสื่อต่างก็ไม่เข้าใจ ทำไมสโมสรต้องปิดบังความจริงเรื่องหนี้สินนี้ด้วยก็ไม่ทราบ แถมผู้ที่รับเหมางานนี้ก็หามาเองด้วย ไม่ใช่บริษัทที่จดทะเบียนสาธารณะทั่วไป มันควรจะมีความโปร่งใสมากกว่านี้" ไม่ว่าแท้จริงแล้วหนี้ที่ บาร์ซ่า ติดอยู่มันจะ 460 หรือ 888 ล้านยูโร ยังไงซะมันก็เป็นจำนวนที่เยอะอยู่ดีในช่วงวิกฤติโควิดแบบนี้ เชื่อเลยว่าถ้า บาร์ซ่า รู้ก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์บัดซบแบบนี้คงไม่ผุดโปรเจ็คต์ปรับปรุงสนามแบบนี้แน่นอน เอาหละทีนี้มาพูดถึงเรื่องการซื้อนักเตะใหม่มาเสริมทัพกันหน่อย เป็นหนี้ขนาดนี้ กำไรรายได้หายไปบานเบอะแบบนี้ จะมีนักเตะระดับบิ๊กเนมเข้ามาเสริมทัพมั้ยนะ? เลาตาโณ่ มาร์ติเนซ กองหน้าทีมชาติอาร์เจนติน่าของ อินเตอร์ มิลาน คือเป้าหมายเบอร์ 1 ในการเสริมทัพของ "เจ้าบุญทุ่ม" ในช่วงซัมเมอร์นี้ แต่ปัญหาคือค่าตัวที่ "งูใหญ่" อยากได้นั้นต้องไม่ต่ำกว่า 70 ล้านยูโร อย่างไรก็ตาม โยอัน โยเซฟ ปัลลาส บรรณาธิการข่าวกีฬาของ "ลา วานการ์เดีย" หนังสือพิมพ์ดังแดนกระทิงดุ ก็เชื่อว่าสุดท้าย บาร์ซ่า จะหาทางดึง มาร์ติเนซ ไปร่วมทีมให้ได้ โดยกล่าวว่า "บาร์ซ่า สามารถดึงตัว เลาตาโร่ มาร่วมทีมได้ แม้ค่าตัวเขาอาจจะสูง แต่มันก็เป็นไปได้ที่ราคาจะถูกลงถ้ามีนักเตะแถมให้ไปด้วย ถ้า บาร์ซ่า สามารถพ่วง อาร์ตูโร่ วิดัล กับ อิวาน ราคิติช 2 กองกลางที่อายุเกิน 30 และมีค่าเหนื่อยสูง เพื่อแลกกับ เลาตาโร่ ที่เพิ่งจะอายุ 22 ได้ มันจะเป็นอะไรที่ลงตัวมากๆ ปัญหาคือนักเตะ 2 คนที่ว่านี้จะยอมย้ายไปรึป่าว" "ข้อดีอีกอย่างของดีลนี้คือนอกจากจะลดค่าจ้างจาก วิดัล และ ราคิติช แล้ว เลาตาโร่ เองก็ไม่น่าเรียกค่าเหนื่อยสูงมากเกินไปด้วย เพราะตอนนี้นอกจาก บาร์ซ่า จะต้องคิดเรื่องการใช้เงินซื้อแข้งใหม่แล้ว พวกเขายังต้องคิดเรื่องค่าเหนื่อยของนักเตะอีกด้วย" ทั้งหมดนี้คือวิกฤติทางการเงินที่ บาร์ซ่า กำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ และอย่างที่บอกไปข้างต้น หากบอร์ดบริหารวางแผนการเงินไม่ดีต่อจากนี้ เดินหมากพลาดนิดเดียวอาจจะล้มทั้งกระดานก็เป็นได้ และถ้าเป็นเช่นนั้นหนทางสุดท้ายที่จะพยุงทีมให้อยู่รอดต่อไป อาจเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือการขาย ลิโอเนล เมสซี่ กัปตันและตำนานของสโมสรทิ้ง เพื่อเอาเงินมาใช้หนี้ และลดเพดานค่าเหนื่อยลง ก็เป็นได้. .. แต่หวังว่ามันจะไม่ย่ำแย่จนถึงขั้นนั้นนะ

ชิน ชินพัฒน์

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมผ่านทางไลน์
logoline