logo-heading

ถ้าจะบอกว่า คาริม เบนเซม่า หัวหอกชางฝรั่งเศสของ เรอัล มาดริด คนนี้เป็นยอดกองหน้าระดับเบอร์ต้นๆ โลกมันก็คงจะไม่มากเกินไปถ้าดูจากตัวเลขการถล่มประตูของเขา

ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2009 ที่เจ้าตัวย้ายเข้ามายังรัง “ราชันชุดขาว” เจ้าตัวก็สถาปนาเป็นหัวหอกเบอร์ 1 ของทีม แบบไม่มีใครสามารถมาเบียดแย่งตำแหน่งไปจากเขาได้เลยไม่ว่าจะมีใครเข้ามา หรือย้ายออกไปอย่างไร ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราเลยจะขอพาไปย้อนดูกันว่ามีกองหน้าคนไหนกันบ้างแล้วที่เข้ามาสู่ทีม และไม่อาจเบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงของ เรอัล มาดริด ไปได้เนื่องจากมี “พี่เบนซ์” ยืนขว้างหน้าอยู่ ซึ่งจะมีใครกันบ้าง ไปติดตามกันได้เลย

กอนซาโล่ อิกวาอิน

ดาวยิงชาวอาร์เจนติน่าถูกดึงตัวมาร่วมทัพในช่วงเดือนมกราคมฤดูกาล 2006-07 ซึ่งในช่วงหน้านั้นเจ้าตัวก็ทำผลงานกับทัพ "ราชันชุดขาว" ได้อย่างยอดเยี่ยม ยิงประตูให้กับทีมได้อย่างบ่อยครั้ง ซึ่งในช่วงที่ อิกวาอิน ได้โอกาสเล่นสลับกับ เบนเซม่า ที่ย้ายมาในช่วงปี 2009 ทั้งคู่ก็ต่างสร้างผลงานกันได้อย่างยอดเยี่ยมพาทีมกวาดแชมป์ลาลีกามาครองถึง 3 สมัย รวมไปถึงโกปา เดล เรย์ อีก 1 ครั้ง แต่ทว่าท้ายที่สุดแล้ว อิกวากิน ก็ต้องเป็นฝ่ายเก็บกระเป๋าเดินจากในช่วงซัมเมอร์ปี 2013 โดยย้ายไปร่วมทัพ นาโปลี ด้วยค่าตัว 39 ล้านยูโร ทิ้งผลงานกับ เรอัล มาดริด ไว้ที่ 122 ประตู จากการลงสนาม 264 นัด ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าตัวก็ร่อนเร่พเนจรพอสมควรทั้งไป ยูเวนตุส, เอซี มิลาน รวมไปถึง เชลซี ซึ่งมันแตกต่างจาก เบนเซม่า ที่วันเวลาผ่านไปหลายปีเจ้าตัวก็ยังคงยึดหน้าหาดเป็นดาวยิงของ เรอัล มาดริด อยู่เช่นเดิม benzema - higuain

อัลบาโร่ โมราต้า

อดีตเด็กฝึกหัดของทีมที่ดึงตัวเข้ามาสู่อคาเดมี่ของสโมสรเมื่อช่วงปี 2008 ก่อนที่จะฟูมฟักฝีเท้าอยู่กับทีมชุดเล็ก ก่อนที่จะเริ่มถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในช่วงปี 2010 โดยเจ้าตัวมีโอกาสลงสนามอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยหน่อยก็คือในซีซั่น 2013-14 ที่ลงสนามรับใช้ทีมไปทั้งสิ้น 34 นัด ซัดไป 9 ประตู ซึ่งตัวเลขการลงสนามอาจจะดูเยอะแต่ทว่าตัวใหญ่ก็มาจากบทบาทตัวสำรองแทนที่ของ คาริม เบนเซม่า ก่อนที่จบฤดูกาลดังกล่าว เรอัล มาดริด จะปล่อยตัวไปให้กับ ยูเวนตุส ด้วยค่าตัว 20 ล้านยูโร ซึ่งชีวิตที่ตูรินต้องบอกว่าเจ้าตัวทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนทำให้บอร์ดบริหารของทัพ "ราชันชุดขาว" ใช้ออปชั่นในการซื้อกลับมาด้วยราคา 30 ล้านยูโรในช่วงซัมเมอร์ปี 2016 แต่อย่างไรก็ตามการกลับมาครั้งนี้เจ้าตัวก็อยู่ได้เพียงซีซั่นเดียว ซึ่งถึงแม้จะมีผลงานที่ยอดเยี่ยมซัดประตูไปได้มากถึง 20 ตุง จากการลงสนาม 43 นัด แต่สุดท้ายทีมก็เลือกที่จะปล่อยเขาออกจากถิ่นซานติอาโก้ เบร์นาเบว อีกครั้ง และเลือกเก็บ คาริม เบนเซม่า เป็นดาวยิงเบอร์ 1 ของทีมต่อไป

เฆเซ่ โรดริเกซ

อีกหนึ่งดาวรุ่งที่ทีมเป็นคนปลุกปั้นขึ้นมาด้วยตัวเองก่อนที่จะพัฒนาฝีเท้าจนก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรได้สำเร็จในช่วงปี 2011 ภายหลังเจ้าตัวเข้ามาสู่อคาเดมี่ของทีมตั้งแต่ปี 2007 โดยในช่วงแรกที่ เฆเซ่ ถูกดันขึ้นมาก็ถือว่ารังสรรค์ผลงานได้น่าสนใจพอสมควร อาจจะไม่ได้ยิงประตูเป็นกอบเป็นกำมากมาย แต่ด้วยความสามารถของเขามันทำให้ได้รับการพูดถึงมากไม่ใช่น้อย แต่อย่างไรก็ตามบทบาทส่วนใหญ่ของเขากับ เรอัล มาดริด คืออะไหล่ข้างสนามมากกว่าการได้โอกาสยึด 11 ตัวจริง เนื่องจากมันมีรุ่นใหญ่ที่ขว้างหน้าอยู่อย่าง คาริม เบนเซม่า ที่จองสัมปทานบทบาทหน้าเป้าเอาไว้แล้ว ทำให้บทสรุปสุดท้ายในช่วงซัมเมอร์ปี 2016 เจ้าตัวถูกปล่อยตัวไปให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ด้วยค่าตัว 25 ล้านยูโร ปิดฉากดาวรุ่งที่ใครหลายคนหมายปองว่าจะเข้ามาช่วยการถล่มประตูให้กับทีม ซึ่งชีวิตหลังออกจาก เรอัล มาดริด ไปของ เฆเซ่ ก็ดูเหมือนจะมีปัญหาหลายอย่างเหลือเกินโดยเฉพาะโอกาสในการลงเล่นให้กับ เปแอเสเช เพราะนับรวมถึงตอนนี้เจ้าตัวถูกปล่อยยืมตัวไปแล้วมากถึง 4 สโมสร ไม่ว่าจะเป็น ลาส พัลมาส, สโต๊ค ซิตี้, เรอัล เบติส และล่าสุดกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน และตลอดระยะเวลา 4 ปีกับทีมเมืองหลวงประเทศฝรั่งเศส เฆเซ่ ลงสนามให้ทีมไปเพียง 16 นัด เท่านั้น benzema - Jese

บอร์ฆา มาโยรัล

เชื่อว่าแฟนบอล เรอัล มาดริด หลายคนน่าจะลืมเลือนหัวหอกเด็กปั้นของทีมคนนี้ไปบ้างแล้ว เพราะในช่วงหลังแทบไม่ปรากฎชื่อกับทีมเลย และมักถูกส่งตัวไปให้ทีมนู้นทีมนี้ยืมตัวเสียมากกว่า โดย มาโยรัล ถูกดันขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ในช่วงปี 2015 ก่อนที่จะถูกปล่อยเก็บประสบการณ์กับ โวล์ฟสบวร์ก ในช่วงซีซั่น 2016-17 ก่อนที่ฤดูกาลต่อมาจะกลับมาลงเล่นให้กับทีมได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเป็นครั้งแรก โดยผลงานของเจ้าตัวในฤดูกาล 2017-18 กับทีม ถือว่าไม่ได้ขี้เหร่อะไรเลยได้โอกาสลงสนามทุกรายการไปทั้งสิ้น 24 นัด ซัดไป 7 ประตู แต่ทว่ามันก็ยังไม่ดีพอที่จะเบียดกองหน้าตัวหลักอย่าง คาริม เบนเซม่า เพราะนอกจากผลงานฟอร์มการเล่นในสนามแล้ส เรื่องของประสบการณ์ก็ทำให้เขายังไม่อาจก้าวข้ามดาวยิงรุ่นพี่ไปได้ ซึ่งในช่วง 2 ฤดูกาลหลังสุดนี้ มาโยรัล ถูกส่งไปให้ เลบันเต้ ยืมตัวใช้งาน เผื่อหวังว่าอนาคตจะแวะเวียนมาใช้บริการอีกครั้ง เพราะสัญญาของเจ้าตัวยังคงมีอยู่กับทีมไปจนถึงปี 2021 

มาเรียโน่ ดิอ๊าซ

แข้งอีกหนึ่งรายที่ทีมดึงเข้ามาปลุกปั้นฝีเท้าตั้งแต่เด็ก แต่ทว่าไม่อาจเบียดขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ก่อนที่จะถูกปล่อยตัวไปให้กับ โอลิมปิก ลียง ใช้งานในช่วงซัมเมอร์ 2017 ด้วยค่าตัว 8 ล้านยูโร ซึ่งที่นี่เอง มาเรียโน่ สามารถงัดศักยภาพของเขาออกมาได้อย่างเต็มเปี่ยมโดยเพียงปีแรกกับทัพ โอแอล เจ้าตัวสังหารประตูไปได้มากถึง 21 ลูก จากการลงสนาม 45 นัด ซึ่งด้วยฟอร์มอันร้อนแรงไม่แปลกที่ เรอัล มาดริด จะหิ้วเงิน 21 ล้านยูโร ในการไปสู่ขอดาวยิงผู้นี้กลับมาล่าตาข่ายในถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ซึ่งด้วยผลงานในซีวั่นก่อนหน้า บวกกับบการเปิดตัวพร้อมเสื้อหมายเลข 7 มันยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้แฟนบอลได้ว่าไอ้หมอนี้แหละที่จะก้าวเข้ามาทดแทนการยิงประตูของ เบนเซม่า ได้ไม่มากก็น้อย แต่ทว่าดูเหมือนมันจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะนอกจากอาการบาดเจ็บแล้ว โอกาสที่เจ้าตัวได้รับก็มักจะเอาไปโยนทิ้งแม่น้ำเสียอย่างงั้น ทำให้บทสรุปสุดท้ายเขาไม่อาจเบียด เบนเซม่า ขึ้นมาเป็นแกนหลักของทีมได้ พร้อมกันนั้นยังมีโอกาสถูกปล่อยออกจากทีมเป็นคันรบที่ 2 อีกด้วย ลูก้า โยวิช

ลูก้า โยวิช

ย้อนกลับไปเมื่อฤดูกาลที่แล้วหนึ่งในแข้งที่ถูกพูดถึง และได้รับการจับตามองเป็นอย่างมากคนหนึ่งนั้นก็คือ ลูก้า โยวิช หัวหอกฟอร์มแรงของ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต จากผลงานการผลิตสกอร์ให้ทีมในทุกรายการ 27 ประตู จากการลงสนาม 48 นัด แน่นอนฟอร์มเยี่ยมแบบนี้ เรอัล มาดริด ยอมควักกระเป๋า 60 ล้านยูโร เพื่อปิดดีลคว้าตัวมาครองอย่างรวดเร็ว แต่แล้วด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างทั้งการปรับตัว, สไตล์ฟุตบอล และอาการบาดเจ็บ มันก็เลยทำให้ โยวิช ที่แฟนบอลคาดหวังไม่อาจรีดศักยภาพออกมาได้อย่างเต๋มที่รวมแล้วผลงานในตอนนี้ของเขาเพิ่งยิงไปได้เพียง 2 ประตู จากการลงสนาม 24 นัด  แต่อย่างไรก็ตามในเคสของ โยวิช ยังพอมีเวลาเหลือให้เขาได้พิสูจน์ตนเองว่าเงินจำนวนกว่า 60 ล้านยูโรที่ทีมลงทุนไปนั้นมันจะไม่สูญเปล่า แต่ทว่าถ้ามองกันในอีกมุมนี้ก็เป็นอีกหนึ่งแข้งที่โดนรัศมีของ เบนเซม่า กลบมิดไปเหมือนกันเนื่องจากไม่อาจเค้นฟอร์มเก่งเหมือนปีที่แล้วออกมาได้

- เปา ขอบสนาม -

ติดตามไลน์ขอบสนามเพิ่มเติม เพิ่มเพื่อน
logoline