logo-heading

ทีมงานขอบสนามบอลไทย ขอจัดแมตช์ประทับใจ 10 อันดับของทีมชาติไทย ในศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ตลอดระยะเวลากว่า 53 ปีที่ผ่านมา เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 104 ปี คณะฟุตบอลสยาม และสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย

ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ คือการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศชิงถ้วยพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2511 มาถึงวันนี้ก็มีอายุกว่า 53 ปีแล้ว ซึ่งถือเป็นทัวร์นาเม้นท์ระดับนานาชาติมีที่เก่าแก่ที่สุดรายการหนึ่งของเอเชีย และยังคงจัดการแข่งขันมาจนถึงทุกวันนี้ ที่ผ่านมาจัดการแข่งขันมาแล้ว 47 ครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งก็มีความทรงจำ และความประทับใจมากมาย โดยเฉพาะผลงานของทีมชาติไทย และต่อไปนี้คือ 10 แมตช์ ประทับใจของทีมชาติไทย ในศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยทีมงานขอบสนามบอลไทย จะมีเกมไหนบ้าง ไปดูกัน 10.คิงส์ คัพ 2019 (ครั้งที่ 47)  ทีมชาติไทย แพ้ อินเดีย 0-1  10 แมตช์ประทับใจทีมชาติไทยในศึกชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ นัดนี้ไม่ได้ถูกจดจำสำหรับผลการแข่งขันที่ดี เพราะ ทีมชาติไทยของเรานั้นพ่ายแพ้ และที่สำคัญเป็นการแพ้ทั้งสองนัดอีกด้วย ต่อทั้ง ทีมชาติอินเดีย และคู่ปรับตลอดกาลอย่าง ทีมชาติเวียดนาม ทำให้รั้งอันดับสุดท้ายของการแข่งขัน ในคิงส์ คัพ ครั้งที่ผ่านมาที่ จ.บุรีรัมย์  แต่แมตช์ดังกล่าวเป็น เกมนัดชิงอันดับ 3 เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2019 ที่ ทีมชาติไทย พ่าย ทีมชาติอินเดีย 0-1 มีประเด็นที่น่าสนใจหลายเรื่อง หนึ่งเลยคือเป็นการลงสนามรับใช้ทีมชาติไทย นัดที่ 100 ของธีรศิลป์ แดงดา ซึ่งสวมปลอกแบนกัปตันทีมในวันนั้นด้วย และอีกไฮไลท์สำคัญคือควันหลงหลังจบการแข่งขัน ที่เมื่อ "เจ้าอุ้ม" ธีราทร บุญมาทัน อดีตแบ็กซ้าย บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ปัจจุบันเล่นอยู่กับ โยโกฮามา เอฟ มารินอส ทีมในเจลีก ได้เดินขึ้นไปกอดและไหว้พร้อมกล่าว "ขอโทษทุกอย่าง" กับ นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ "ซ้อต่าย" กรุณา ชิดชอบ หลังก่อนหน้าเคยผิดใจกันเมื่อครั้งที่ เจ้าอุ้ม ได้ย้ายจาก บุรีรัมย์ ข้ามฟากมาร่วมทีมอริเบอร์ 1 อย่าง เอสซีจี เมืองทอง ซึ่งถือเป็นภาพแห่งความประทับใจที่ดังไปทั่วโซเชียล  และอีกหนึ่งไฮไลท์คือในฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์ คัพ ครั้งนี้ ทีมชาติไทยได้สวมชุดแข่งขันรุ่นพิเศษที่เป็นสีเหลืองทอง ในชื่อรุ่นว่า “ทหารของพระราชา” เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 อีกด้วย 9.คิงส์คัพ 2017 (ครั้งที่ 45)  ทีมชาติไทย ชนะ เกาหลีเหนือ 3-0 10 แมตช์ประทับใจทีมชาติไทยในศึกชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ เป็นเกมรอบแรกที่ ทีมชาติไทย พบกับ ทีมชาติเกาหลีเหนือ โดยเกมนัดนั้นช้างศึกมาในสีเสื้อชุดดำเข้ม นอกจากชัยชนะของทัพช้างศึกที่มีเหนือต่อโสมแดงอย่างท่วมท้นถึง 3-0 ที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากแล้ว อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญและเป็นช็อตที่แฟนบอลช้างศึกยังจำกันได้ คือการคัมแบ็กกลับมายิงประตูในนามทีมชาติไทยอีกครั้งของ ธีรเทพ วิโนทัย ที่ถูกเรียกตัวติดทีมชาติไทยในชุดนี้ด้วย  โดย “ลีซอ” ถูกส่งลงสนามแทน สรรวัชญ์ เดชมิตร นาทีที่ 88 ก่อนยิงจุดโทษปิดกล่องช่วยทีมเอาชนะ เกาหลีเหนือ 3-0 ถือเป็นการกลับมายิงประตูให้ทีมชาติไทยได้ในรอบ 3 ปี โดยครั้งล่าสุดที่ ลีซอ ทำได้คือเกมเอเชียนคัพ รอบคัดเลือก ที่เปิดบ้านพ่าย ทีมชาติเลบานอน 2-5 เมื่อปี 2014  8.คิงส์ คัพ 2016 (ครั้งที่ 44)  ทีมชาติไทย ชนะ ทีมชาติจอร์แดน 2-0  10 แมตช์ประทับใจทีมชาติไทยในศึกชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ อีกหนึ่งเกมนัดชิงฯ คิงส์ คัพ ที่แฟนฟุตบอลไทยน่าจะยังจำได้ดี นั่นคือนัดชิงฯ ฟุตบอล คิงส์ คัพ ครั้งที่ 44 ทีมชาติไทย ชนะ จอร์แดน 2-0 เกมนี้เล่นกันเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 59 โดยทัพช้างศึกมาในชุด 100 ปีทีมชาติไทย สีแดง-ขาว และเกมนี้ "เจ้าก้อง" เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ก็สวมบทฮีโร่ทำคนเดียวสองประตู ให้ "ทัพช้างศึก" ทีมชาติไทย เอาชนะ ทีมชาติจอร์แดน 2-0 พาทีมชาติไทยคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ หลังรอคอยมานานถึง 9 ปีเต็มด้วยกัน  7.คิงส์ คัพ 2018 (ครั้งที่ 46)  ทีมชาติไทย แพ้ ทีมชาติสโลวาเกีย 2-3 10 แมตช์ประทับใจทีมชาติไทยในศึกชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ สำหรับความน่าสนใจในการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 46 เมื่อปี 2018 แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว ทีมชาติไทย จะไปไม่ถึงฝั่งฝันเพราะจบด้วยการเป็นรองแชมป์ แต่ด้วยการแพ้ ทีมชาติสโลวาเกีย ที่ถือว่าเป็นทีมชั้นนำของยุโรป  ไปอย่างหวุดหวิด 3-2 และฟอร์มการเล่นของทีมชาติไทยในเกมนั้น กลับได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมาก โดยก่อนหน้านี้ต้องยอมรับว่าแฟนบอลจำนวนไม่น้อยที่ไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก เมื่อทีมชาติไทยเปลี่ยนถ่ายกุนซือจาก โค้ชซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เข้าสู่ยุคของ มิโลวาน ราเยวัช ที่เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ ด้วยหลายๆ เหตุผล โดยเฉพาะเรื่องผลงานที่ดร็อปลงเรื่อยๆ ประกอบกับความใหม่ของกุนซือขรัวเฒ่ารายนี้ด้วยยิ่งทำให้แฟนๆ บอลไทยยังมีคำถามในใจ  อย่างไรก็ตามใน คิงส์คัพ ครั้งที่ 46 นี้ เป็นทัวร์นาเมนต์ที่แสดงให้เห็นว่าขรัวเฒ่ารายนี้ก็มีฝีมือที่น่าสนใจ โดยเกมแรกจัดการเอาชนะจุดโทษ กาบอง ซึ่งเกมนั้นแฟนบอลเข้าไปชมเกม 2 หมื่นกว่าชีวิต ก่อนที่จะเข้าไปเจอกับ สโลวัก ในรอบชิงฯ ซึ่งในรอบนี้ มีแฟนบอลเข้ามาชมในสนามจำนวน 45,425 คน ซึ่งเป็นสถิติใกล้เคียงกับสถิติในการคุมทัพของ "ซิโก้" ที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้อีกด้วย ถือว่ากระแสแฟนบอลในยุคแรกๆ ของ มิโลวาน ราเยวัช ดีใช้ได้  โดยรูปเกมแม้ไทยจะเป็นรอง แต่ก็สู้ได้อย่างสนุก สูสี โดยเฉพาะฟอร์มการเล่นของ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่ทำเอาแนวรับของสโลวาเกีย ที่นำทัพโดย มาร์ติน สเคอร์เทล อดีตกองหลังหงส์แดงถึงกลับหัวหมุน โดยทีมชาติไทยมาได้ 2 ประตูจาก จักพันธ์ แก้วพรม และ พรรษา เหมวิบูลย์ ในเกมนั้น แม้จะแพ้ไป 3-2 แต่ก็เป็นผลงานที่น่าประทับใจแฟนบอลอย่างมาก 6..คิงส์ คัพ 1997 (ครั้งที่ 28)  ทีมชาติไทย เสมอ ญี่ปุ่น 1-1 10 แมตช์ประทับใจทีมชาติไทยในศึกชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ ในอดีตนั้นการเจอกันระหว่างทีมชาติไทยกับญี่ปุ่น ถือเป็นเกมที่สูสีกัน และเป็นเกมที่แฟนบอลต่างรอคอย และในคิงส์ คัพ ครั้งที่ 28 เมื่อปี 1997 หรือ พ.ศ.2540 ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้ง ที่ทีมชาติไทย ได้โคจรมาพบกับซามูไรบูลส์อีกครั้ง และนี่ถือเป็นแมตซ์ที่น่าจดจำอีกครั้งของฟุตบอลคิงส์ คัพ ในสนามศุภชลาศัย โดยทีมชาติญี่ปุ่น ชุดนั้น นำทัพมาโดย มาซามิ อิฮาร่า, ฮิโรชิ นานามิ, คาซูโยชิ มิอูระ, ซึ่งถือเป็นดาวเตะระดับซุปตาร์ของเอเชีย ขณะที่ทีมชาติไทยของเรา คุมทัพโดย โค้ชเฮง วิทยา เลาหกุล มีตัวหลักอย่าง นที ทองสุขแก้ว, ดุสิต เฉลิมแสน, เสนาะ โล่งสว่าง, เนติพงศ์ ศรีทองอินทร์  ญี่ปุ่นวางแท็คติกเพรสซิ่งใส่ไทยตั้งแต่ต้นเกม โดยไม่สนสภาพอากาศที่ร้อนระอุ เกมนั้นทีมจากแดนอาทิตย์อุทัยออกนำก่อนในนาที 66 จากโชจิ โจ หลังจากนั้นไทยแก้เกมด้วยการส่งปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ลงสนาม และแม้ว่าตอนั้นอายุอานามของ เดอะตุ๊ก จะปาเข้าไป 37 ย่างเข้า 38 ปีแล้ว แต่ด้วยฝีเท้าและชื่อเสียงที่มีตอนนั้น ก็ยังสามารถขู่แนวรับญี่ปุ่นได้ และกองหน้าเจ้าของฉายาเพชฌฆาตหน้าหยก ก็ไม่ทพให้แฟนบอลผิดหวัง ด้วยการแอสซิสต์ให้ อัลเฟรด เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์ ซัลโวเข้าไปในนาที 77 เป็น ประตูตีเสมอให้ทีมชาติไทย และทำให้แฟนบอลไทยได้เฮกันลั่นสนาม จากนั้นทีมชาติไทยก็บุกหนักใส่ญี่ปุ่น แต่สุดท้ายเกมจบลงด้วยผลเสมอ 1-1 แบ่งกันไปทีมละ  1 คะแนน ถือเป็น 1 แมตซ์ที่น่าจดจำในประวัติศาสตร์คิงส์ คัพ และนี่ยังถือเป็นการมาร่วมลงเตะฟุตบอลคิงส์ คัพ ครั้งสุดท้ายของญี่ปุ่น อีกด้วย 5.คิงส์ คัพ 2005 (ครั้งที่ 36)  ครั้งแรกที่คิงส์ คัพ ไปจัดที่ต่างจังหวัด 10 แมตช์ประทับใจทีมชาติไทยในศึกชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ สำหรับก่อนหน้านี้ ฟุตบอล คิงส์ คัพ ตลอด 50 ปีมีมากกว่า 45 ครั้ง ที่จัดอยู่ในกรุงเทพฯ และมีเพียง 4 ครั้งเท่านั้นที่ถูกนำไปจัดตามต่างจังหวัดตามหัวเมืองต่างๆ โดยครั้งแรกสำหรับฟุตบอลคิงส์ คัพ แบบภูธร ก็คือในปี พ.ศ.2548 หรือ 2005 คิงส์ คัพ ครั้งที่ 36 ไปเตะกันที่ภาคใต้ 2 จังหวัดดัง ได้แก่จังหวัดพังงา และ ภูเก็ต ส่วนนึงเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของไทยด้วย หลังเกิดเหตุการณ์สึนามิ ในปี 2547 ทำให้ คิงส์ คัพ ในครั้งนั้นค่อนข้างถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง  ทีมชาติไทย ในยุคนั้นนำทัพไปโดย ปีเตอร์ รีด กุนซือชาวอังกฤษ พร้อมด้วยนักเตะดังมากมาย อาทิ สุเชาว์ นุชนุ่ม , สุธี สุขสมกิจ , ดัสกร ทองเหลา , สุรีย์ สุขะ , ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ , ธีรเทพ วิโนทัย และอีกหลายๆ คน และในปีนั้นการแข่งขันเป็นแบบพบกันหมดทั้ง 4 ทีม (มีทีมชาติไทย , ทีมชาติลัตเวีย , ทีมชาติเกาหลีเหนือ และ ทีมชาติโอมาน) โดยทีมชาติไทยได้ที่ 3 ซึ่งในรอบชิงฯ ทีมชาติลัตเวีย กับ ทีมชาติเกาหลีเหนือ ในฐานะอันดับ 1 และ 2 เข้าไปชิงฯ กัน ก่อนที่จะเป็นทีมชาติลัตเวียเอาชนะไปได้ 2-1 เป็นแชมป์คิงส์ คัพ ในปีนั้นไป  4.คิงส์ คัพ 1994 (ครั้งที่ 25)  ไทย บี ชนะ เยอรมัน 4-0 แจ้งเกิดดรีมทีม 10 แมตช์ประทับใจทีมชาติไทยในศึกชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ หลังความล้มเหลวในการคว้าเหรียญทองฟุตบอลชายซีเกมส์ 1991 ที่ฟิลิปปินส์ ธวัชชัย สัจจกุล หรือ บิ๊กหอย ที่โดดเข้ามาเป้นผู้จัดการทีมชาติไทย และสร้างทีมชุดดรีมทีมขึ้นมา และโมเมนต์ที่น่าจดจำสำหรับทีมชุดนี้เกิดขึ้นในการแข่งขันคิงส์ คัพ 2537 หรือปี 1994 ปีเดียวกับฟุตบอลโลก ที่อเมริกา นักบอลตัวสำรอง จากทีมในบอลถ้วยพระราชทานก. ถูกดึงมาฝึกซ้อม ทั้งตะวัน ศรีปาน, เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล, ดุสิต เฉลิมแสน โดยก่อนการแข่งขันทีมชุดนี้โดนสบประมาท จากทั้งแฟนบอลและสือมวลชน ว่าน่าจะตกรอบแรกแน่ๆ เพราะเป็นการถ่ายสายเลือดใหม่และนักเตะส่วนใหญ่ก็ยังโนดนม แต่ใครจะไปคิดละว่า ทีมชุดนี้จะทะยานก้าวไปสู่การเป็นแชมป์ได้แบบพลิกความคาดหมาย เด็กในคาถาของกุนซือที่ชื่อว่า ชัชชัย พหลแพทย์ เข้ารอบชิงไปพบกับทีมจากแคว้นเวสต์ฟาเล่น หรือทีมชาติเยอรมัน ชุดสำรอง ท่ามกลางแฟนลูกหนังกว่า 20,000 คน ทีมเยอรมันชุดนั้นขนผู้เล่นจากบุนเดสลีกา รวม 7 คน มีแข้งชาลเก่ 04 ผสมกับตัวสำรองของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และนักเตะภายในประเทศมาร่วมแข่งขัน ด้วยสภาพอากาศที่ร้อน นักเตะไทยได้เปรียบ บวกกับกระแสฟีเวอร์ของดรีมทีม ปรากฏว่า ทีมไทยชุดบี เดินหน้าบุกแหลกเอาชนะคู่แข่งจากเมืองเบียร์ 4-0 ได้ประตูจาก เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง นาที 58, โกวิทย์ ฝอยทอง นาที 68 , สุชิน พันธ์ประภาส นาที 70, และ ตะวัน ศรีปาน นาที 73 ซึ่งชัยชนะเกมนี้ก็สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการฟุตบอลไทยและเป็น 1 ในเกมระดับตำนานของฟุตบอลคิงส์ คัพ ที่ยังถูกพูดถึงมาจนทุกวันนี้ 3.คิงส์ คัพ 1997 (ครั้งที่ 28)  ลูกไขว้ บรรลือโลก  10 แมตช์ประทับใจทีมชาติไทยในศึกชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ ย้อนกลับไปอีกครั้งสำหรับฟุตบอลคิงส์ คัพ คั้งที่ 28 เมื่อปี 1997 หรือ พ.ศ.2540 อีกหนึ่งเกมที่ยังถูกพูดถึงมาจนทุกวันนี้ คือการพบกันของทีมชาติไทย กับทีมชาติโรมาเนีย ซึ่งสุดท้ายแล้วเป้นทีมชาติไทย ที่เอาชนะไปได้ 1-0 แต่ไฮไลท์สำคัญก็คือประตูชัยของทีมชาติไทย มันคือลูกยิงระดับเวิร์ลคลาสของชายที่ชื่อ ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ซึ่งมันเป็นลูกไขว้ยิงแบบเหนือชั้น จากการเปิดบอลเข้ามาให้ของ เสนาะ โล่งสว่าง ที่ดูเหมือนจะย้อนหลังไปนิดนึง ทำให้ยิงด้วยเท้าขวาไม่ถนัด แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่า เดอะตุ๊ก ในวัยย่างเข้า 38 ปี จะใช้ลูกไขว้ยิงด้วยเท้าซ้ายเข้าไปอย่างสวยงาม อีกทั้งลูกยิงลูกนี้ยังถูกสื่อต่างประเทศนำไปตีข่าวและนำเสนอกันอย่างมากมายจนกลายเป็นลูกไขว้บรรลือโลก ซึ่งในคิงส์ คัพ ครั้งนั้น ทีมชาติไทย ได้เข้าไปชิงชนะเลิศกับสวีเดน ก่อนจะแพ้ไป 2-0 ได้แค่รองแชมป์ 2.คิงส์ คัพ 2000 (ครั้งที่ 31)  บราซิล ชุดใหญ่บุกไทย 10 แมตช์ประทับใจทีมชาติไทยในศึกชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ ฟุตบอลคิงส์ คัพ อีกหนึ่งแมตชืที่จะอยู่ในความทรงจำของใครหลายๆ คน ก็คงหนีไม่พ้น แมตช์ที่ ทีมชาติไทย ของเราได้พบกับทีมชาติบราซิล ชุดใหญ่ ซึ่งในศึกคิงส์ คัพ ครั้งนั้นเป็นครั้งที่ 31 เมื่อปี 2000 หรือปี 2543 โดยจริงๆ แล้วบราซิลนั้นส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันในนาม ยู20 ซึ่งมาในฐานะแชมป์เก่าจากปีก่อน แต่สำหรับเกมนัดที่ 2 ที่เจอกับทีมชาติไทย นั้นเมื่อวันที่ 23 ก.พ.2543 ถือเป็นแมตช์พิเศษ ที่ทีมอันดับหนึ่งของโลก เจ้าของแชมป์โลก 4 สมัยในเวลานั้น อย่างบราซิล ได้ส่งทีมชุดใหญ่มาร่วมแข่งกันกับทีมชาติไทยเฉพาะแมตช์นี้ ซึ่งบราซิลชุดนั้น นำทัพโดย ริวัลโด้, โรนัลดินโญ่, เอเมอร์สัน, ดีด้า, คาฟู, โรแบร์โต้ คาร์ลอส, เซ โรแบร์โต้,  จูนินโญ่ เปอร์มันบูร์กาโน่ และ โจวานี่ เอลเเบร์   ขณะที่ทีมชาติไทย ของเรา ก็เรียกตัว "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง บินตรงมาจากสโมสรฮัลเดอร์ฟิล (ดิวิชั่น 1) ในประเทศอังกฤษ เพื่อ มาลงเล่นเฉพาะเกมนี้เช่นกัน บวกกับชุดดรีมทีมอย่าง เทิดศักดิ์ ใจมั่น, ตะวัน ศรีปาน, ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล, นที ทองสุขแก้ว, ดุสิต เฉลิมแสน, พิพัฒน์ ต้นกันยา, เศกสรรค์ ปิตุรัตน์ และ สุธี สุขสมกิจ คุมทัพโดย ปีเตอร์ วิธ กุนซือชาวอังกฤษ  และถึงแม้เกมนี้ ทีมชาติไทยจะโดนบราซิล ไล่ถล่มถึง 7-0 จากการทำประตูของ ริวัลโด้ (น.12, 40), โรนัลดินโญ่ (น.40), เอเมอร์สัน (น.49, 85), โรเก้ จูเนียร์ (น.73), มาริโอ ยาร์เดล (น.80) แต่ก็ถือเป็นเกมที่สนุก และแฟนบอลก็ได้ชมฝีเท้าของนักเตะและทีมระดับแชมป์โลกอย่างบราซิล แบบจุใจ และสุดประทับใจกับเกมนั้น ซึ่งถือเป็นอีกหน้าประวัติศาสตร์ของฟุตบอลคิงส์ คัพ เลยทีเดีย แต่ถึงแม้ทีมชาติไทย จะแพ้บราซิล ในเกมที่สอง แต่สุดท้ายก้สามารถที่จะเข้าไปชิงชนะเลิศได้ โดยถล่ม ฟินแลนด์ ถึง 5-1 จากการทำแฮตทริคของ อนุรักษ์ ศรีเกิด และอีกสองประตูจาก พิพัฒน์ ต้นกันยา และ ธนัญชัย บริบาล สามารถคว้าแชมป์คิงส์ คัพ และนำถ้วยกลับมาอยู่ที่เมืองไทยได้อีกครั้งในรอบ 5 ปี เลยทีเดียว 1.คิงส์ คัพ 1993 (ครั้งที่ 24)   คิงส์ คัพ สนามแตก 10 แมตช์ประทับใจทีมชาติไทยในศึกชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ และแมตช์แห่งความทรงจำอันดับที่หนึ่ง ต้องขอยกให้กับฟุตบอลคิงส์ คัพ ครั้งที่ 24 เมื่อปี 1993 หรือ พ.ศ.2536 ในเกมรอบรองชนะเลิศ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2536 ระหว่าง ทีมไทย เอ พบกับทีมชาติเกาหลีใต้ ซึ่งทั้ง 2 ทีมหมายมั่นปั้นมือจะเก็บชัยชนะให้ได้พื่อผ่านเข้าชิงชนะเลิศ เกมนี้ถือเป็นอีกแมตช์ประวัติศาสตร์ที่ถูกพูดถึงกันมาจนทุกวันนี้ กับเรื่องราวของคำว่าสนามแตก ในเกมนั้นมีแฟนบอลเข้าไปจมเป็นจำนวนมาก จนล้นมาถึงลู่วิ่งตรงขอบสนามศุภชลาศัย อีกนิดเดียวก็จะลงไปในสนามอยู่แล้ว หลังประตูก็ชิดติดขอบเสาประตูกันเลยทีเดียว อารมณ์เหมือนดูบอลกีฬาสีที่โรงเรียนสมัยก่อนกับเกมรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งด้วยความที่มีแฟนบอลเข้าไปเยอะเกินกว่าที่คาด ทำให้ต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยรักษาความปลอดภัยเข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิด และเกือบที่จะคุมเหตุการณ์เอาไว้ไม่อยู่ด้วยซ้ำ จนแข้งโสมขาวทีมเยือนเกือบจะไม่ขอร่วมวงแข่งขันด้วย เพราะกลัวจะไม่ปลอดภัย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้มีแฟนบอลเข้าไปล้นทะลักถึงขอบสนามศุภชลาศัย ขนาดนั้น ก็มาจากความคลั่งไคล้ในฝีเท้าของ ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ที่ถือว่าเป้นนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ของทีมชาติไทยในเวลานั้น จนทุกคนอยากมาดูฝีเท้าให้เห็นกับตาด้วยตัวเองที่สนาม จึงเกิดเป็นปรากฎการณ์แฟนบอลสนามแตกอย่างแท้จริง และยังถูกพูดถึงมาทุกวันนี้ โดยผลการแข่งขันทีมชาติไทยเฉือนชนะเกาหลีใต้ไปได้ 1-0 จากลูกยิงของ ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน โดย บรรยากาศในสนามแฟนบอลเฮกันลั่น สุดท้ายไทยเข้าชิง แต่ก็ไปแพ้จีน 4-0 ได้แค่รองแชมป์ โดยนักเตะชุดนั้นนอกจาก เดอะตุ๊กแล้วก็ยังมี อรรถพล บุษปาคม,ไพโรจน์ พ่วงจันทร์,วิลาศ น้อมเจริญ,อภิชาติ ทวีเฉลิมดิษฐ์ และ นที ทองสุขแก้ว และนี่ก็คือทั้งหมด ของ 10 แมตช์สุดประทับใจและอยู่ในความทรงจำของศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ ของทีมชาติไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 10 แมตช์ประทับใจทีมชาติไทยในศึกชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ และในปีนี้ วอริกซ์ ได้คลอดชุดแข่งขันใหม่ล่าสุดของทีมชาติไทย ออกมาเป็นที่เรียบร้อยในชื่อรุ่น "เสื้อปฐมบทสยาม" Warrix Retro Jersey 1915 โดยเป็นการนำยูนิฟอร์มแรกของ "คณะฟุตบอลสยาม" หรือทีมชาติไทย ทีมแรกในประวัติศาสตร์  ที่เป็นสีแดง-ขาว ใช้เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2458 กลับมารียูเนี่ยนอีกครั้งในเวอร์ชั่นของวอริกซ์ ด้วยการออกแบบ และดีไซน์ที่โดดเด่นด้วยการนำลวดลาย Pulse เอกลักษณะเฉพาะของวอริกซ์มาผสมผสานบนตัวเสื้อ พร้อมความพิเศษด้วยการใช้สัญลักษณ์ "โลโก้ช้างศึกแบบใหม่" บนเสื้อสีแดงขาวย้อนยุคเป็นครั้งแรก ประดับด้วยสัญลักษณ์เลขไทย ๑๐๔ ปีสีทองบนคอเสื้อด้านหลัง 10 แมตช์ประทับใจทีมชาติไทยในศึกชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ เพื่อเป็นการฉลองครอบรอบ 104 ปีทีมฟุตบอลทีมชาติไทย เมื่อปีที่แล้ว รวมทั้งเป็นการฉลองครบรอบ 104 ปี ของสมาคมฟุตบอลในปีนี้ โดยชุดแข่งขัน "เสื้อปฐมบทสยาม"  นี้มาในบรรจุกล่องแม่เหล็กสวยงามทรงคุณค่า และนัมเบอร์ "Authentic Licensed" มีจำนวนจำกัดเพียง 10,000 ตัว สำหรับแฟนฟุตบอลไทยทุกคน สนนราคา 1,490 บาท ถ้าคุณเป็นแฟนพันธุ์แท้ทีมชาติไทยตัวจริง บอกเลยว่าพลาดไม่ได้
logoline