logo-heading

ตีตั๋วเข้ารอบชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกไปแล้วเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ บาเยิร์น มิวนิค ยอดทีมจากบุนเดสลีกา ที่กำลังเดินหน้าล่าโทรฟี่แชมป์ใบที่ 3 ประจำฤดูกาลนี้ ภายหลังซิวแชมป์บุนเดสลีกา กับ เดเอฟเบ โพคาล มาแล้ว

ซึ่งก่อนที่พวกเขาจะเดินมาถึงจุดนี้ ย้อนกลับไปช่วงต้นฤดูกาลสโมสรเผชิญปัญหามากมายเลยทีเดียวทั้งเรื่องของฟอร์มการเล่น และประเด็นเกี่ยวกับกุนซือคนเก่าอย่าง นิโก้ โควัช ซึ่งนับตั้งแต่กุนซือชาว โครเอเชีย เดินออกไปก็ดูเหมือน “เสือใต้” ตัวนี้จะกลับมาผงาดอีกครั้ง ภายหลังได้ ฮันซี่ ฟลิค เข้ามาเป็นเจ้านายคนใหม่ ว่าแล้ววันนี้ ขอบสนาม ของเราเลยจะมาว่ากันถึงความเปลี่ยนแปลงของ บาเยิร์น มิวนิค นับตั้งแต่ได้ ฮันซี่ ฟลิค เข้ามา ซึ่งจะมีจุดไหนที่เปลี่ยนไปบ้าง มาติดตามพร้อมๆ กันไปเลย

การกลับชาติมาเกิดของ มุลเลอร์

ย้อนกลับไปในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาลนี้เมื่อครั้งที่ นิโก้ โควัช ยังคงสถานะเป็นนายใหญ่แห่งทัพ "เสือใต้" ไม่รู้เจ้าตัวคิด หรือมีใครมากระซิบข้างๆ หูให้ทำการดร็อป โธมัส มุลเลอร์ หนึ่งในพี่ใหญ่ และแข้งตัวหลักของทีมเป็นเพียงตัวสำรอง ซึ่งมันถึงขั้นที่ว่าช่วงหนึ่งเจ้าตัวต้องนั่งอยู่ที่ข้างสนามติดต่อกันถึง 6 นัด มากไปกว่านั้นคือทำเหมือนแข้งชาวเยอรมันผู้นี้เป็นส่วนเกินของทีม ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลต่อผลงานของทีมมากพอสมควร และกระทบชิ่งไปถึงตัว มุลเลอร์ ที่เจ้าตัวเคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าถึงขั้นที่อยากจะย้ายออกจากทีมไปซะตอนนั้นเลย  แต่แล้วเมื่อ โควัช ก้าวเดินออกไป เปิดทางให้ ฮันซี่ ฟลิค เดินเข้ามา แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็ถูกจุดติดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง นายใหญ่คนใหม่ปรับเปลี่ยนวิธีการเล่นโดยใช้ มุลเลอร์ เป็นจุดศูนย์กลางของแนวรุก ซึ่งเมื่อเจ้าตัวได้รับโอกาสก็คว้าเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม มันยิ่งเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง และเป็นผู้เจ้านาย บวกกับทำให้เพื่อนในทีมเล่นกันได้ง่ายขึ้น รวมแล้วนับมาถึงตรงนี้ มุลเลอร์ ลงสนามในฤดูกาลนี้ไปแล้วทั้งหมด 49 นัด ซัดไป 14 ประตู พร้อมกับแอสซิสต์อีก 26 ครั้ง ฉะนั้นนี่จึงเป็นจุดแรกและสูตรสำเร็จง่ายๆ ที่ ฮันซี่ ฟลิค มองเห็น และเข้าใจ มากกว่าเจ้านายคนเก่า 

เกมรุกดุดัน

ประเด็นนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากสาเหตุที่ มุลเลอร์ ได้โอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่องนี้แหละครับ บวกกับเหล่าหน่วยสนับสนุนต่างๆ สามารถพัฒนายกระดับตัวเองขึ้นมาได้อย่างยอดเยี่ยมไม่ว่าจะเป็น แซร์จ นาบรี้, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, อิวาน เปริซิซ หรือคิงลี่ย์ โคมัน และส่วนผสมสำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้น โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่ฤดูกาลนี้ซัดกระจายทุกรายการไปแล้ว 55 ประตู ซึ่งเมื่อส่วนผสมต่างๆ มันสามารถคลุกเคล้ากันได้เป็นอย่างดี เราจึงเห็นกันอยู่บ่อยๆ ที่ทัพ บาเยิร์น มิวนิค เดินหน้ากระซวกตาข่ายคู่แข่งแบบไม่ยั้งเท้าเลยทีเดียว สกอร์ 5, 6 หรือ 8 ประตู เราจึงได้เห็นกันจนเป็นเรื่องเคยชิน รวมแล้วในฤดูกาลนี้ขุนพล “เสือใต้” ตะปบคู่แข่งไปมากถึง 158 ตุง ซึ่งจุดนี้เองต้องชื่นชม และให้เครดิตแก่ ฮันซี่ ฟลิค แบบเต็มๆ ที่สามารถดึงศักยภาพเหล่าเกมรุกออกได้อย่างสุดยอดขนาดนี้

เสียประตูยาก และแพ้ยาก

ถ้อยคำที่บอกว่าทีมที่เสียประตูยาก หรือไม่เสียประตูเลย พวกคุณก็แทบที่จะปิดประตูแพ้แล้ว มันจะยังคงนำมาใช้ได้เสมอ และกับ บาเยิร์น มิวนิค ภายใต้การนำทัพของ ฮันซี่ ฟลิค กำลังทำแบบนั้นอยู่ เพราะพวกเขากลายเป็นทีมที่มีแนวรับยอดเยี่ยมเบอร์ต้นๆ ของยุโรป เสียประตูยากมากในแต่ละเกม ซึ่งจุดนี้ต้องชื่นชม ฟลิค เป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาร์ฟที่ทีมเสีย นิคลาส ซูเล่ ปราการหลังตัวหลักไปจากอาการบาดเจ็บ ทำให้เจ้าตัวเลือกปรับ ดาบิด อลาบา หุบจากตำแหน่งฟลูแบ็คมาเล่นเซนเตอร์  ซึ่งตัวนักเตะก็ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม ถ้ายังคิดความยอดเยี่ยมนี้ไม่ออก เราได้นำตัวเลขมาเป็นเครื่องยืนยัน โดยช่วงต้นฤดูกาล นิโก้ โควัช คุมทัพในบุนเดสลีกาไป 10 นัด เสียไปถึง 16 ประตู เฉลี่ยตกเกมละ 1.6 ลูกเลยทีเดียว แต่พลันที่ทีมมาอยู่ในมือ ฮันซี่ ฟลิค ตัวเลขที่เจ้าตัวคุมทีมในเกมลีก 24 นัด เสียไปเพียง 16 ประตู เท่านั้น ถึงแม้ตัวเลขจะเท่ากัน แต่ค่าเฉลี่ย และจำนวนนัดมันดีกว่าเห็นๆ ฉะนั้นนี้จึงเป็นอีกหนึ่งจุดที่มองด้วยตาเปล่าก็เห็นว่าแนวรับของทัพ "เสือใต้" ดีขึ้นมากขนาดไหน

ซื้อใจลูกทีมได้สำเร็จ

ย้อนกลับไปในช่วงที่นายใหญ่ยังคงชื่อว่า นิโก้ โควัช มีข่าวหลุดออกมาว่ามีนักเตะของทีมหลายคนไม่พอใจในตัวของกุนซือผู้นี้ และทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำภายในแคมป์ของ "เสือใต้" ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการยืนยันจาก อูลี่ เฮอเนสส์ ประธานของสโมสรว่าเป็นเรื่องจริงที่มีนักเตะไม่ต้องการอยู่ในทีมเดียวกับ โควัช ซึ่งจุดนี้มันเลยทำให้การทำงานระหว่างเจ้านาย กับ ลูกน้อง มันไม่อาจดำเนินต่อไปได้ ทำให้สุดท้ายทั้งคู่ต้องแยกทางกันไป ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวดูเหมือนมันจะกลับตาลปัตรไปเสียหมดเมื่อทีมได้ ฮันซี่ ฟลิค เข้ามากุมบังเหียนบรรยากาศตึงเครียดหายไป ตัวของกุนซือสามารถควบคุม และซื้อใจเหล่าลูกน้องได้เป็นอย่างดี มันก็ไม่แปลกที่นักเตะก็พร้อมที่จะสู้เพื่อเจ้านายคนใหม่รายนี้ จนทำให้ผลงานในสนามมันออกมาสวยงามอย่างที่แฟนบอลได้เห็นทั้งเร่งสปีดเข้าป้ายคว้าแชมป์บุนเดสลีกา รวมไปถึงตีตั๋วเข้ารอบชิงศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฉะนั้นแล้วนี่จึงเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่แฮปปี้ไม่ใช่น้อยของทีม ดั่งเช่นวลียอดฮิตที่ว่า "ฟ้าหลังฝน ย่อมสวยงามเสมอ"

- เปา ขอบสนาม -

logoline