จบลงไปแล้วกับเกมพรีเมียร์ลีกคู่เปิดหัวประจำสัปดาห์นี้ระหว่าง ไบร์ทตัน ที่เปิดบ้านพ่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-3 ซึ่งได้เกิดเรื่องราวดราม่ามากมายในเกมระดับ 5 ดาวนี้
ซึ่งรายละเอียดในเกมจะเป็นอย่างไร มีเหตุการณ์ดราม่าตรงไหน ขอบสนาม ของเราได้รวบรวม 5 ประเด็นเด็ดๆ มาให้ทุกท่านได้รับชมกันแล้ว
การจัดทัพ
ก่อนเกมมีประเด็นให้พูดถึงมากพอสมควรเกี่ยวกับการจัดทัพของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ว่าจะยังคงยึดมั่น และไว้ใจ วิคเตอร์ ลินเดเลิฟ ต่อไปหรือไม่หลังโชว์ฟอร์มเหวอในเกมลีกล่าสุดจนทำให้แฟนบอลเรียกร้องให้ส่ง เอริค ไบยี่ ที่สลัดอาการบาดเจ็บกลับมาแล้วลงสนามแทน แต่ทว่าสุดท้าย โซลชา ยังคงเชื่อมั่นในตัวของ 'ดิ ไอซ์แลนด์' ในการลงคุมหลังบ้านร่วมกับ แฮร์รี่ แม็คไกวร์
ส่วนในตำแหน่งอื่นๆ ก็มีปรับเปลี่ยนบ้างเล็กน้อยไล่มาตั้งแต่ อารอน วาน-บิสซาก้า ที่ผ่านความฟิตได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงแทนที่ของ ธิโมที โฟซู-เมนซ่า ส่วนอีกคนก็คือ เมสัน กรีนวู้ด ประจำการตัวรุกทางฝั่งซ้ายแทนที่ของ ดาเนียล เจมส์
ในรายอื่นๆ ยังอยู่กันพร้อมหน้าไม่ว่าจะเป็น บรูโร่ แฟร์นานเดส, ปอล ป็อกบา หรือ มาร์คัส แรชฟอร์ด ส่วน ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ที่ได้เป็นตัวจริงในเกมคาราบาว คัพ เมื่อกลางสัปดาห์ยังคงต้องรอโอกาสเป็น 11 ตัวจริงในเกมลีกต่อไป ซึ่งจะว่าไปนี้คือโฉมหน้าชุด 11 ตัวจริงที่ทำผลงานโคตรเฟี้ยวชนะติดๆ กันในช่วงรีสตาร์ทเมื่อฤดูกาลที่แล้วเลย
ผีแดงโคตรโชคดี !
ต้องบอกว่าไม่รู้ แมนฯ ยูไนเต็ด มีของดีอะไรติดตัวมาด้วยหรือเปล่า เพราะถ้ามองจากรูปเกมชัยชนะในเกมนี้ของพวกเขาถ้าว่ากันตามตรงมันดูจะไม่ค่อยคู่ควรเท่าไหร่ เพราะเนื้อหาตลอด 90 นาทีในเกมเป็นฝั่ง ไบร์ทตัน ที่เปิดหน้าบุกเข้าใส่แบบไม่ยั้ง แต่ทว่าก็โดนทั้งเสา และคาน ปฏิเสธไปเสียหมด
รวมแล้วแข้งของเจ้าบ้านซัดบอลไปกระทบกับเสา และคาน รวมกันถึง 5 ครั้ง ซึ่งจากจำนวนดังกล่าวเกิดขึ้นจาก เลอันโดร ทรอสซาร์ คนเดียวถึง 3 หน นี้ยังไม่รวมโอกาสอีกหลายๆ ครั้งที่ฝั่ง ไบร์ทตัน มีโอกาสจบสกอร์อีกกว่า 15 ครั้ง ซึ่งถ้ายิงคมๆ กันหน่อยเกมคงพลิกโฉมไปอีกแบบ ไม่เช่นนั้นเราอาจได้เห็นโศกนาฎกรรมฆ่าผีอีกสัปดาห์นึงก็เป็นได้
ในวันที่แข้ง ผีแดง นัดกันฟอร์มแย่
ต้องยอมรับเลยว่าเกมเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นอีกหนึ่งเกมที่พลพรรคทัพ "ปีศาจแดง" เล่นกันได้ห่วยแตกพอสมควร ไล่มาตั้งแต่แผงเกมรับที่ปล่อยให้คู่แข่งเจาะเข้าไปทำประตู หรือเปิดพื้นที่ให้เล่นกันง่ายๆ
ส่วนแดนกลางทั้ง ป็อกบา และ มาติซ ต่างทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานทั้งนั้น ในรายของมิดฟิลด์ชาวฝรั่งเศสแทบไม่มีจังหวะวางบอลยาวที่สร้างประโยชน์ รวมไปถึงจังหวะทะลุทะลวงก็ไม่มีให้เห็น ส่วน มาติซ เขาเป็นมิดฟิลด์ตัวรับที่เบรคแนวรุกคู่แข่งแทบไม่อยู่ ทำให้แดนกลางของทีมค่อนข้างเสียเปรียบเทียบ ไบร์ทตัน เยอะ และไม่แปลกที่บอลจะหลุดไปถึงพื้นที่สุดท้ายได้อย่างง่ายดาย
ซึ่งเมื่อบอลแดนกลางมันทำกันไม่ได้หรือที่ข้างหน้าจะเจอบอล และเมื่อมีโอกาสเป็นฝ่ายบุกเข้าใส่บ้างพวกเขาก็พรางทำเหมือนไม่ได้ฝึกซ้อมกันมา ต่างคนต่างเล่น ไม่มีจังหวะต่อบอลสวยๆ ให้เห็น 3 ประตูที่ได้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจากการประสานงานกันแต่อย่างใด
แรชฟอร์ด ชื่อนี้ยังเชื่อมือได้
ประตูที่ แรชฟอร์ด ลากเข้าไปยิงให้ทัพ "ปีศาจแดง" แดงพลิกขึ้นนำ 2-1 นั้นต้องบอกว่ายอดเยี่ยมเอามากๆ ซึ่งมันต้องชื่นชม บรูโน่ แฟร์นานเดส ด้วยกับคิลเลอร์พาสจังหวะนั้นที่น้ำหนักมันพอดิบพอดีเหลือเกิน ส่วน แรชฟอร์ด เจ้าตัวก็เลี้ยงไลน์ พร้อมกับรับบอลกระชากเข้าหากรอบเขตโทษคู่แข่งพรางใช้ความสามารถเฉพาะตัวหลอกล่อจน 3 ชั้นติดจนเกมรับของ ไบร์ทตัน เอาไม่จนก่อนกระซวกเข้าไปแบบเยือกเย็น
ซึ่งทำให้นี้กลายเป็นประตูแรกของเจ้าตัวในศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ว่าแล้วก็มาลุ้นว่า แรชฟอร์ด จะสามารถทำลายยิงจนทำลายสถิติ 17 ประตู ของตัวเองเมื่อฤดูกาลที่แล้วได้หรือไม่
ดราม่าท้ายเกม
เสียงนกหวีดยาวถูกเป่าขึ้นแสดงถึงการจบเกมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสกอร์บอร์ดได้บอกเราว่า ไบร์ทตัน 2 แมนฯ ยูไนเต็ด 2 ทั้งคู่ต่างเก็บ 1 คะแนนเข้ากระเป๋าไป แต่... มันดันเกิดเหตุการณ์ดราม่าเพราะผู้ตัดสินได้รับข้อความบางอย่างจากภายในห้อง VAR ก่อนที่จะตรวจเช็คย้อนหลังว่ามีจังหวะแฮนด์บอลของ นีล โมเปย์ แข้งของฝั่ง ไบร์ทตัน ใช่ครับ! มันคือจุดโทษของฝั่งผู้มาเยือนก่อนที่จะเป็น บรูโน่ แฟร์นานเดส รับหน้าที่สังหารเข้าไป สร้างความดราม่าแบบคูณสองเลยทีเดียว
ซึ่งแน่นอนประเด็นกลายเป็นข้อถกเถียงว่าในเมื่อผู้ตัดสินได้เป่านกหวีดจบเกมไปแล้ว แต่ทำไมถึงมาให้จุดโทษย้อนหลังแบบนี้ได้ โดยอ้างจากกฎของ IFAB หรือ คณะกรรมการสมาคมฟุตบอลระหว่างประเทศ ได้ระบุว่าผู้ตัดสินสามารถย้อนกลับมาตัดสินได้ถ้าหากจังหวะดังกล่าวมันคือความถูกต้อง เพราะการตัดสินต้องคำนึกถึงความถูกต้องเป็นหลักมากกว่าความรวดเร็ว ซึ่งมันจะนำมาซึ่งประสิทธิภาพของเกม และผู้ตัดสินไม่ได้ถูกจำกัดเวลาในการตรวจสอบ และสามารถตัดสินให้เปลี่ยนแปลงได้
