ไทม์ไลน์ชีวิตของ โรบินโญ่ จาก 'นิว เปเล่' สู่ความพลิกผันที่เปลี่ยนไปตลอดกาล
โรบินโญ่ ชื่อนี้ถ้าเปิดปฎิทินย้อนกลับไปสักราวๆ ปี 2005 เขาคือหนึ่งในนักเตะที่มีพรสวรรค์ด้านฟุตบอลที่น่ามหัศจรรย์เป็นอย่างมาก
แต่ทว่าด้วยปัจจัยหลายๆ ทำให้เขาก็กลายเป็นดาวอีกหนึ่งดวงที่จรัสแสงออกมาได้เพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะดับไปในช่วงเวลาเพียงไม่นาน ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราเลยขอย้อนไปดูไทม์ไลน์ของ โรบินโญ่ กันหน่อย ว่าตั้งแต่อดีตที่จนถึงปัจจุบันเส้นทางลูกหนังของเขาเป็นอย่างไรบ้าง
เริ่มต้นด้วยวันเดอร์คิดส์ ฉายา 'นิว เปเล่'
ย้อนกลับไปช่วงปี 2001 ซานโตส ได้ค้นพบเพชรเม็ดงามแห่งวงการลูกหนัง ที่พวกเขาได้ฟูมฟักเลี้ยงดูมาตั้งแต่เป็นเด็กเยาวชน ผลงานของเขาเกินกว่าเด็ก 17 ปี ในรุ่นเดียวกันทุกคน แน่นอนเมื่อถูกดันขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ลีลาการเล่นของเขามันช่างเหลือร้ายมากเหลือเกิน การเลี้ยงบอล, เบสิค หรือ ยิงประตู เหมือนเด็กคนนี้ถูกหล่อหลอมเพื่อขึ้นมาทดแทนซุปเปอร์สตาร์รุ่นพี่อย่าง เปเล่ ซึ่งเด็กหนุ่มคนนั้นมีนามว่า ร็อบสัน เด โซซ่า หรือที่แฟนบอลรู้จักกันในนาม โรบินโญ่
โรบินโญ่ ค้าแข้งอยู่กับทีมชุดใหญ่ของ ซานโตส อยู่นานกว่า 4 ปี ท่ามกลางข่าวลือที่ถูกทีมชั้นนำของยุโรปให้ความสนใจไม่ว่าจะเป็น บาร์เซโลน่า, แมนฯ ยูไนเต็ด หรือแม้กระทั่ง เรอัล มาดริด ทีมที่เจ้าตัวย้ายมาร่วมทัพในช่วงปี 2005 ซึ่งในขณะนั้นทัพ "ราชันชุดขาว" ก็อุดมไปด้วยเหล่าแข้งแนวรุกชั้นยอดไม่ว่าจะเป็น ราอูล กอนซาเลซ หรือ รุด ฟาน นิสเตลรอย แต่ทว่า โรบินโญ่ ก็สามารถปรับตัวร่วมงานกับรุ่นพี่เหล่านี้ได้อย่างลงตัว สถิติการยิงไป 35 ประตู จากการลงสนาม 137 นัด ดูดีไม่เบาสำหรับเด็กหนุ่มจากอเมริกาใต้
แต่แล้วสุดท้ายด้วยเหตุผลบางประการทำให้ โรบินโญ่ ในยุคของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ เขาไม่คอยได้รับโอกาสมากนัก จนเกิดกระแสเรื่องย้ายทีมเกิดขึ้น และทีมที่ตกเป็นแคนดิเดตคือตัวแทนจากอังกฤษอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ เชลซี
โยกย้ายไปอังกฤษ
หลังจากเกิดอาการอยากย้ายทีมเกิดขึ้น บวกกับทาง เรอัล มาดริด เองก็พร้อมที่จะปล่อยออกจากทีมเช่นกันทำให้ 2 ทีมที่กล่าวไปข้างต้นนั้นเปิดศึกนอกสนามเพื่อแย่งลายเซ็นของ โรบินโญ่ ขึ้นมา ซึ่งถ้าจะว่ากันตามตรงในช่วงเวลานั้น เชลซี ดูจะมีภาษีที่ดีกว่าทั้งเรื่องของความสำเร็จ และตัวกุนซือที่เคยร่วมงานกับ โรบินโญ่ มาแล้วอย่าง หลุยส์ เฟลิปเป้ สโคลารี่ แต่ทว่าฝั่ง แมนฯ ซิตี้ เองพวกเขาก็มีเงินถังโตในการประเคนให้กับนักเตะพิจารณาเพราะช่วงนั้นทีมได้เข้าสู่การเปลี่ยนแปรงโดยมี ชีค มานซูร์ เข้ามาเทคโอเวอร์ทีมแล้ว
สุดท้ายดีลที่คิดว่า เชลซี จะได้แน่ๆ กลับกลายเป็นฝั่ง ซิตี้ ที่ซิวตัวไปครองในช่วงวันสุดท้ายของตลาดซื้อ-ขาย นักเตะ ด้วยราคา 43 ล้านยูโร ส่วนเหตุผลที่ มาดริด ปัดข้อเสนอของ เชลซี ทิ้งแบบดื้อๆ นั้นมีการรายงานว่าทางบอร์ดทัพ "ชุดขาว" ไม่พอใจที่ฝั่ง เชลซี ดันไปขายเสื้อแข่งที่ติดชื่อของ โรบินโญ่ ทั้งที่การเจรจามันยังไม่ 100% ทำให้ทั้งคู่อดร่วมงานกัน
ส่วนฝั่ง โรบินโญ่ กลายเป็นนักเตะคนแรกในโปรเจ็ควาดฝันกวาดความสำเร็จของ ชีค มานซูร์ นอกจากนั้นสิ่งที่แฟนบอลพูดถึงกันมากนั้นก็คือเรื่องของตัวเลขค่าเหนื่อยที่ โรบินโญ่ ได้รับมากถึง 160,000 ปอนด์/สัปดาห์ ซึ่งเป็นจำนวนมหาศาล และสูงที่สุดของลีกในตอนนั้น แต่ดูเหมือนสิ่งที่ทีมลงทุนไปจะไม่ค่อยออกดอกผลิผลให้ชื่นชมเท่าไหร่
โรบินโญ่ ในขวบปีแรกกับ ซิตี้ เขาลงสนามไปทั้งสิ้น 42 นัด ซัดไป 15 ประตู ซึ่งจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นปรับตัว หรือเรื่องของสภาพจิตใจ ก็ต้องยอมรับว่าเขาล้มเหลวมากพอควร หนำซ้ำสิ่งที่ทำให้แฟนบอล ซิตี้ ผิดหวังไปตามๆ กันคือคำสัมภาษณ์ของเจ้าตัวที่บอกว่า
"พอได้ยินชื่อว่า แมนเชสเตอร์ ผมก็คิดว่าผมจะได้ย้ายไปอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก เอเยนต์ผมเป็นคนจัดการทุกอย่าง ซึ่งกว่าผมจะรู้ว่าต้องเล่นให้ ซิตี้ ก็คือวินาทีสุดท้ายของตลาดซื้อ-ขาย แล้ว"
จากนั้น โรบินโญ่ ก็อยู่กับทีมต่ออีกครึ่งซีซั่น ก่อนที่จะถูกปล่อยยืมตัวกลับไปค้าแข้งกับ ซานโตส ทีมเก่าที่ปั้นเขาขึ้นมา ซึ่งนั้นเหมือนสัญญาณที่บอกว่าชีวิตที่รุ่งโรจน์ของเขากำลังจะค่อยๆ ไต่ระดับลงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ชีวิตสุดพเนจร
อย่างที่บอกไปว่า โรบินโญ่ ค้าแข้งกับ แมนฯ ซิตี้ ได้เพียง 1 ฤดูกาลครึ่งเท่านั้น ก็ถูกปล่อยตัวไปให้ ซานโตส ยืมตัว ก่อนกลับมาในช่วงซัมเมอร์ปี 2010 เจ้าตัวก็ถูกขายไปให้กับ เอซี มิลาน ด้วยค่าตัว 21 ล้านยูโร ซึ่งกับสโมสรแห่งนี้ โรบินโญ่ ค้าแข้งอยู่นานกว่า 4 ฤดูกาล คว้าแชมป์กับทีมได้ 2 ครั้ง คือแชมป์โคปปา อิตาเลีย ฤดูกาล 2010-11 กับ แชมป์ซุปเปอร์ โคปปา ฤดูกาล 2011-12 ก่อนที่ช่วงปี 2014 จะถูกปล่อยไปให้ ซานโตส ยืมตัวอีกครั้งเป็นการย้ายซบทีมเก่าเป็นครั้งที่ 3
โดยในช่วงซัมเมอร์ 2015 เอซี มิลาน ได้ทำการประกาศยกเลิกสัญญากับ โรบินโญ่ ทั้งที่สัญญาที่เซ็นกันไว้จะเหลืออีก 1 ปี ก็ตาม ซึ่งทำให้เขากลายเป็นแข้งฟรีเอเยนต์ และได้ย้ายตามอดีตเจ้านายอย่าง หลุยส์ เฟลิปเป้ สโคลารี่ ไปค้าแข้งกับ กวางโจว เอเวอร์แกรนด์ ซึ่งมีการเซ็นสัญญากันทั้งสิ้น 6 เดือน แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวตามสถิติบอกว่าเขาได้โอกาสลงสนาม 10 นัด ยิงไปได้ 3 ประตู ก่อนที่จะเป็นแข้งฟรีเอเยนต์อีกครั้ง และกลับไปค้าแข้งที่บ้านเกิดกับ แอตเลติโก้ มิไนโร่ ในช่วงปี 2016
หลังจากนั้น โรบินโญ่ ก็กลับมาที่ยุโรปอีกครั้ง โดยคราวนี้เจ้าตัวย้ายมาค้าแข้งกับ ซิวาสปอร์ (2018) และ อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ (2019) 2 สโมสรจากประเทศตุรกี ก่อนที่ล่าสุดหลังเจ้าตัวกลายเป็นแข้งฟรีเอเยนต์ (อีกครั้ง) หลังถูก อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ ปล่อยตัวออกจากสโมสร
กลับ ซานโตส รอบที่ 4 ก่อนถูกยกเลิกสัญญา
ภายหลังกลายเป็นแข้งฟรีเอเยนต์อีกครั้ง เจ้าตัวก็ได้โอกาสกลับไปยังสโมสรบ้านเกิดที่รู้จักเขาเป็นอย่างดีอีกครั้งอย่าง ซานโตส ซึ่งการเซ็นสัญญาครั้งนี้มีรายงานว่าเจ้าตัวรับค่าเหนื่อยเพียง 207 ปอนด์/สัปดาห์ เท่านั้น คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 8,000 บาทเท่านั้น
แต่เรื่องที่พีคคูณสองมากกว่านั้นคือหลังจากเซ็นสัญญากันได้ 6 วัน ทาง โรบินโญ่ ก็ถูกต้นสังกัดอย่าง ซานโตส ยกเลิกสัญญา เนื่องจากทางต้นสังกัดโดนบริษัท ออร์โธไพรด์ ที่เป็นผู้สนับสนุนหลักของสโมสร ที่ทำเกี่ยวกับการดูแลความงาม ถอนตัวออกจากทีมเนื่องจากไม่พอใจที่ทาง ซานโตส ได้ไปเซ็นสัญญาคว้าตัว โรบินโญ่ เข้ามาสู่ทีม
เพราะย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 สมัยที่ โรบินโญ่ ค้าแข้งอยู่กับ เอซี มิลาน เขาถูกกล่าวหาว่าได้เข้าไปพัวพันกับคดีข่มขืนหญิงชาวอัลแบเนีย ก่อนที่ในปี 2017 ศาลประเทศอิตาลีจะตัดสินว่าเจ้าตัวมีความผิดจริง และต้องรับโทษจำคุกนานถึง 9 ปี แต่ทว่าจนถึงปัจจุบัน โรบินโญ่ ก็ปฎิเสธข้อกล่าวหามาโดยตลอด พร้อมทั้งยังไม่มีการจับกุมแต่อย่างใด
- เปา ขอบสนาม -