logo-heading

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เถลิงบัลลังก์แชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2017-18 ไปครองตามความคาดหมาย แถมยังนำลิ่วมาแบบที่่ว่าม้วนเดียวจบอีกต่างหาก ซึ่งแน่นอนวาปัจจัยสำคัญก็มาจากกึ๋นของกุนซืออย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นี่แหละ

แต่ที่สำคัญไปมากกว่านั้นการที่ "เรือใบสีฟ้า" ได้ก้าวอยู่มาในจุดๆ นี้ ได้ก้าวขึ้นชั้นสู่ทีมยักษ์ใหญ่ได้มันก็เป็นเพราะเรื่องของ "เงิน" ล้วนๆ

ยุครุ่งเรืองของ แมนฯ ซิตี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงปี 2008 โดยท่านชีค มานซูร์ มหาเศรษฐีชาวสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ซื้อหุ้นเข้ามาเทคโอเวอร์ตัวสโมสร ทำให้หลังจากนั้น "เรือใบสีฟ้า" ก็ถูกยลโฉมเป็นทีมที่ใช้เงินซื้อความสำเร็จไปโดยปริยาย โดยมีกุนซือราวๆ 4 คนที่ได้โอกาสใช้เงินจับจ่ายใช้สอยตามที่ใจต้องการ ทว่าเรื่องผลตอบแทนมันจะคุ้มค่าขนาดไหนเดี๋ยวไปแจกแจงกันทีละคนเลย 1.มาร์ค ฮิวจ์ส (2008/09) - 199.9 ล้านปอนด์ แจงตัวเลขการใช้เงินกุนซือ เรือใบ ยุครุ่งเรือง มาร์ค ฮิวจ์ส อยู่กับ แมนฯ ซิตี้ มาตั้งแต่ยุคของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย โดยได้เข้ามาสานต่อหน้าที่แทน สเวน-โกรัน อีริคส์สัน เมื่อปี 2008 พร้อมกับได้นักเตะอย่าง โช, ตาล เบน ฮาอิม, แว็งซ็องต์ ก็องปานี, ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์ และ ปาโบล ซาบาเลต้า มาร่วมทีม ก่อนที่วันที่ 1 กันยายน สโมสร แมนฯ ซิตี้ ได้ประกาศเปลี่ยนเจ้าของทีมคนใหม่โดยเปลี่ยนมือเป็น ท่านชีค มานซูร์ ซึ่งการมาของมหาเศรษฐีรายนี้ทำให้ ฮิวจ์ส สามารถใช้เงินถังเลือกซื้อใครก็ได้ตามใจชอบ และในซัมเมอร์นั้น "เรือใบสีฟ้า" ก็เซ็นเพิ่มมาอีกหลายคนไม่ว่าจะเป็น เวย์น บริดจ์, เครก เบลลามี่, เชย์ กิฟเว่น, ไนเจล เดอ ยอง และ โรบินโญ่ คือตัวที่ค่าตัวแพงที่สุด 32.5 ล้านปอนด์จาก เรอัล มาดริด แมนฯ ซิตี้ ใช้เงินไปมากที่สุดในตลาดซัมเมอร์ปีนั้นที่ 82.4 ล้านปอนด์ และตัวนักเตะที่ค่าตัวแพงสุดอย่าง โรบินโญ่ ก็ตอบแทนค่าตัวได้ดีทีเดียวกับผลงาน 14 ประตูในซีซั่น 2008-09 แต่ในเรื่องของภาพรวมถือว่าล้มเหลว เพราะทีมจบลงที่อันดับ 10 ในตาราง พรีเมียร์ลีก ส่วนตัวที่ย้ายมาพร้อมๆ กัน อย่าง เบลลามี่ หรือ เดอ ยอง ปีนั้นก็ไม่ค่อยได้รับโอกาสสักเท่าไหร่ ต่อเนื่องจนถึงหน้าร้อนปีต่อมา ฮิวจส์ ก็จัดการจับจ่ายใช้สอยดึงแข้งดังๆ มาเสริมแกร่งอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น แกเร็ธ แบร์รี่, โรเก้ ซานตา ครูซ, โคโล่ ตูเร่, คาร์ลอส เตเวซ, โจเลออน เลสค็อตต์ และ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ที่ดูจะค่าตัวแพงที่สุดที่ 25 ล้านปอนด์ อย่างไรก็ตามจากผลงานอันย่ำแน่ในช่วง 4 เดือนแรก แมนฯ ซิตี้ ของ ฮิวจ์ส ชนะได้แค่ 2 เกมเท่านั้นจาก 11 เกมทำให้สโมสรจัดการถีบส่งเจ้าตัวพ้นม้านั่งกุนซือในที่สุด 2.โรแบร์โต้ มันชินี่ (2009-13) - 280.7 ล้านปอนด์ แจงตัวเลขการใช้เงินกุนซือ เรือใบ ยุครุ่งเรือง จากผลงานอันห่วยแตกในช่วงต้นซีซั่น โรแบร์โต้ มันชินี่ ก็ยลโฉมให้ แมนฯ ซิตี้ เริ่มกลายเป็นทีมที่่น่ากลัวที่สุดทีมหนึ่งบนเวที พรีเมียร์ลีก เขาใช้นักเตะที่ มาร์ค ฮิวจ์ส ซื้อมาได้อย่างคุ้มค่าทีเดียวไม่ว่าจะเป็น อเดบาเยอร์ และ เตเวซ ที่ซัดไป 14 และ 23 ประตูตามลำดับ และฤดูกาลนั้น "เรือใบสีฟ้า" จบที่อันดับ 5 เมื่อผลงานกำลังแจ่มและมีสิทธิ์ลุ้นความสำเร็จเรื่องถ้วยแชมป์ได้ มันชินี่ จึงจัดการเขียนใบสั่งขอนำเข้าแข้งเกรด เอ เข้าสู่ทีมมากมายหลายคนไม่ว่าจะเป็น ดาบิด ซิลบา (ค่าตัวแพงสุดตอนนั้นที่ 26 ล้านปอนด์), ยายา ตูเร่ และ เจอโรม บัวเต็ง รวมไปถึง เอดิน เชโก้ ในช่วงปีใหม่ที่ 27 ล้านปอนด์ และก็ถือเป็นเสริมทัพที่คุ้มค่าสุดๆ เพราะทั้ง ซิลบา และ ตูเร่ ต่างก็ฉายแววได้อย่างโดดเด่นทั้งเรื่องการปั้นเกม, การตัดเกมและเชื่อมเกม ส่วน เชโก้ หลักๆ ก็มีสถานะเป็นแค่ตำสำรองเท่านั้น พร้อมหยิบโทรฟี่ เอฟเอ คัพ ไปโชว์ในตู้กระจก แมนฯ ซิตี้ อีกทั้งยังจบอันดับ 3 ได้ตั๋วไปลุย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มันชินี่ มาถูกทางแล้วจึงหวังเอาไว้ว่าฤดูกาล 2011-12 ซิตี้ จำเป็นต้องมีโทรฟี่ถ้วยแชมป์เพิ่มอีก โดยจัดการเสริมความคมเพิ่มด้วยการนำเข้านักฆ่าอย่าง เซร์คิโอ อเกวโร่ จาก แอตเลติโก มาดริด ในค่าตัว 38 ล้านปอนด์ และก็ไม่ทำให้ผิดหวังเพราะ 23 ประตูของ อเกวโร่ นั้นคือส่วนสำคัญที่พา แมนฯ ซิตี้ เถลิงบัลลังก์แชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองได้สำเร็จ แถมยังเป็นการปาดหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบดราม่า อีกด้วย ขณะที่ เอดิน เชโก้ ก็เริ่มมีบทบาทกับทีมมากขึ้น หลังจากเป็นแชมป์ มันชินี่ คงรู้สึกพอใจกับขุมกำลัง "เรือใบสีฟ้า" ในชุดนี้มากๆ จึงไม่ได้เสริมทัพอะไรมากมายในช่วงหน้าร้อน โดยตัวที่แพงสุดที่นำเข้ามาในตอนนั้นคงเป็น ฆาบี การ์เซีย กองกลางชาวสเปนที่ค่าตัว 15.8 ล้านปอนด์ ส่วนผลงานก็ไม่ได้หวือหวาอะไรมากมายนักตามค่าตัว 3.มานูเอล เปเยกรินี่ (2013-16) - 315.5 ล้านปอนด์ แจงตัวเลขการใช้เงินกุนซือ เรือใบ ยุครุ่งเรือง หลังจากป้องกันแชมป์ไม่ได้ บวกกับความผิดหวังมากมายที่เกิดขึ้นทำให้ มานูเอล เปเยกรินี่ ได้เข้ามาสานต่อบัลลังก์กุนซือแทน มันชี่ และในช่วงซัมเมอร์ปี 2013 ก็ใช้เงินไปประมาณหนึ่งกับการเสริมทัพนักเตะใหม่ๆ แถมส่วนใหญ่เป็นพวกกองหน้าอย่าง อัลบาโร่ เนเกรโด้ (16.4 ล้านยูโร), สเตฟาน โยเวติช (26.7 ล้านยูโร) ทั้งที่ก็มีตัวเจ๋งๆ อย่าง เอดิน เชโก้ และ เซร์คิโอ อเกวโร่ อยู่แล้ว ส่วนตัวที่ราคาแพงที่สุดของ เปเยกรินี่ ในช่วงนั้นก็คือ แฟร์นานดินโญ่ จาก ชัคเตอร์ โดเน็ตส์ค ที่ 30 ล้านปอนด์ อย่างไรก็ตามคนที่ดูเหมือนจะสอบผ่านดันมีแค่ เนเกรโด้ และ แฟร์นานดินโญ่ เท่านั้นเพราะได้โอกาสลงเล่นต่อเนื่อง แถมฟอร์มเข้าตาทีเดียว พร้อมกับส่งให้ "เรือใบสีฟ้า" เป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัมยที่ 2 เมื่อมีภารกิจการป้องกันแชมป์ทาง เปเยกรินี่ ก็เลยตัดสินใจเสริมแผงหลังอย่าง เอเลียกิม ม็องกาล่า ที่ฟอร์มเฉิดฉายมากกับ เอฟซี ปอร์โต้ แถมยังมีหลายทีมดังรุมแย่งกันอีกด้วย โดย แมนฯ ซิตี้ ตัดสินใจควักเงินซื้อมาในค่าตัวที่สูงถึง 42 ล้านปอนด์ พร้อมกับได้ตัว วิลเฟร็ด โบนี่ จาก สวอนซี มาด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ เพื่อเป็นตัวแทนของ อัลบาโร่ เนเกรโด ที่ย้ายออกจากทีมไป ซึ่งผลปรากฏว่าทั้ง 2 คนดังกล่าวผลงานห่วยแตกมาก โดย ม็องกาล่า ยังปรับตัวไม่ได้ มีความช้า และเป็นส่วนให้ทีมเสียประตูบ่อย ขณะที่ โบนี่ ก็ไม่สามารถเบียดขึ้นไปเป็นกองหน้าตัวจรงของทีมได้ หลังจากเสริมทัพได้ห่วยแตกสุดๆ จนโดนวิจารณ์อย่างหนัก เปเยกรินี่ ก็ไปทำการบ้านมาใหม่ และในใบสั่งซื้อของซัมเมอร์ 2015 แมนฯ ซิตี้ ประสบความสำเร็จการได้ลายเซ็นตัวเบ้งๆ อย่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง (49 ล้านปอนด์) และ เควิน  เดอ บรอยน์ (56 ล้านปอนด์) ซึ่ง เดอ บรอยน์ ถือว่าทำผลงานได้คุ้มค่าจากการกดไป 7 ประตูและ 9 แอสซิสต์ พร้อมโอกาสปั้นเกมให้เพื่อนๆ อีกมากมาย ทว่าในรายของ สเตอร์ลิ่ง ก็ไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองกับค่าตัวเฉียด 50 ล้านปอนด์ได้เลย และนั่นก็คือปีสุดท้ายของ เปเยกรินี่ ที่ไม่สามารถพาทีมกอบโกยความสำเร็จอะไรได้เลย 4.เป๊ป กวาร์ดิโอล่า (2016-ปัจจุบัน) 450 ล้านปอนด์ แจงตัวเลขการใช้เงินกุนซือ เรือใบ ยุครุ่งเรือง การมาของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้สร้างความตกตะลึงให้แก่วงการฟุตบอล รวมไปถึงแฟนๆ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วย เพราะว่าบารมีของเขานั้นได้ดึงดูดนักเตะดีๆ มามากมายหลายคนไม่ว่าจะเป็ เคลาดิโอ บราโว่ (15 ล้านปอนด์), จอห์น สโตนส์ (47.5 ล้านปอนด์), อิลคาย กุนโดกัน (22 ล้านปอนด์), โนลิโต้ (13.8 ล้านปอนด์) และ เลรอย ซาเน่ (37 ล้านปอนด์) ส่วน กาเบรียล เชซุส (27 ล้านปอนด์) นั้นย้ายมาตอนปีใหม่ 2017 อย่างไรก็ตามที่คนที่ล้มเหลวที่สุดดูเหมือนจะเป็นคนที่ซื้อเข้ามาแพงที่สุดอย่าง จอห์น สโตนส์ เพราะเหมือนจะปรับตัวไม่ได้ และก็ดูแตกตื่นพลาดง่ายๆ บ่อยครั้ง ซึ่งมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ดูจะโอเคที่สุดคือ ซาเน่ ที่มาฉายแววได้ดีในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล ขณะที่ เชซุส นั้นต้องบอกว่านี่คือปรากฏการณ์จริงๆ เพราะในช่วงที่ เซร์คิโอ อเกวโร่ เจ็บ ไอ้หนูรายนี้ก็ทดแทนได้อย่างไร้ปัญหา พร้อมกับเบียด 'กุน' ไปโดยปริยาย ปีแรกของ เป๊ป ไม่สามารถหยิบถ้วยแชมป์ใดๆ ให้แก่ แมนฯ ซิตี้ ได้ จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา นั่นจึงทำให้ เป๊ป ทนไม่ได้และได้จัดการโละแข้งส่วนเกินออกทิ้งหมดไม่ว่าจะเป็น อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ, กาแอล กลิชี่, บาการี่ ซาญ่า และ ปาโบล ซาบาเลต้า พร้อมกับทุ่มเงินจำนวนมากอีกครั้งหาตัวใหม่ๆ มาเติมเต็มและแทนที่ไม่ว่าจะเป็น เอแดร์สัน, เบนจามิน เมนดี้, ไคล์ วอล์คเกอร์ , แบร์นาโด้ ซิลวา และ ดานิโล่ รวมถึง อายเมอริค ลาปอร์เต้ ตอนปีใหม่ 2018 เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แก้ตัวได้ดีจากการเสริมทัพสุดเห่ยเมื่อปีก่อน เพราะตัวใหม่ๆ ที่นำเข้ามานั้นต่างก็โชว์ฟอร์มได้ดีทั้งหมด ยกเว้น เมนดี้ เพราะต้องยาว ส่วน ลาปอร์เต้ นั้นย้ายมากลางฤดูกาลยังปรับตัวไม่ค่อยได้ แต่โดยรวมถือว่าแจ่ม เพราะ แมนฯ ซิตี้ คว้าได้ทั้งแชมป์ พรีเมียร์ลีก และ คาราบาว คัพ

-HaMuDosSantos-

logoline