logo-heading

ย้อนกลับไปในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดบ้านโดน ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ บุกไปถล่มยำคาถิ่น 1-6 ซึ่งวันนั้นเปรียบเสมือนจุดเปลี่ยนสำคัญของทีม และจุดเปลี่ยนความคิดของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ไปในตัวด้วย

เกมดังกล่าวจบ 45 นาทีแรกด้วยการที่ทัพ "ปีศาจแดง" โดนบุกมากระหน่ำยิงถึง 4 ประตู ทั้งที่พวกเขาเป็นฝ่ายออกนำไปก่อนจาก บรูโน่ แฟร์นานเดส โดยสกอร์ที่ตามหลัง บวกกับตัวผู้เล่นที่เหลือน้อยกว่าภายหลัง อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ตบะแตกเอามือไปตบหน้า เอริค ลาเมล่า ทำให้ถูกใบแดงไล่ออกจากสนามไป  เริ่มครึ่งหลังวิธีคิดของ โซลชา แตกต่างไปจากการคาดหมายของหลายคน และอยู่เหนือความคาดหมายของแฟนบอล เพราะเขาเลือกที่จะถอดนักเตะคนสำคัญของทีมอย่าง บรูโน่ แฟร์นานเดส กับ เนมานย่า มาติซ ออก และหันไปใช้บริหารของ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ และ เฟร็ด ด้วยเหตุผลที่ว่าเพื่อที่จะไม่ให้ทีมเสียเปรียบเรื่องของสกอร์ไปมากกว่านี้ หรือพูดกันชัดๆ ก็คือเน้นไปที่เกมรับ มิดฟิลด์ตัวตัดเกม เพื่อไม่ให้เสียประตูเพิ่ม เพชรในตม! เฟร็ด กับแสงสว่าง ในวันที่ฟ้ามืดมิดของ แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างที่บอกความพ่ายแพ้แบบย่อยยับในวันนั้นช่วยให้ โซลชา หันมาให้ความสำคัญกับเกมแดนกลางของทีมมากขึ้น โดยเฉพาะในตำแหน่งของ เฟร็ด ที่กลายเป็นผึ้งงานในแดนกลาง วิ่งสู้ฟัดแบบไม่มีพลังหมด เพราะนับตั้งแต่เกมวันนั้นมิดฟิดล์ชาวบราซิลก็ได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่องตลอดมา และกลายเป็นแกนหลักของทีมเปลี่ยนคู่ขาไปเรื่อยจนมาถึงเกมล่าสุดกับ อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ ที่ โซลชา หันมาใช้ ฟาน เดอ เบค จับคู่กับ เฟร็ด ผลงานในสนามของ เฟร็ด แทบจะตอบทุกข้อสงสัยไปแล้วว่าทำไม โซลชา ถึงมอบหมายให้เขาเป็นแกนหลักของทีม ก็ด้วยเพราะผลงานของเขาในช่วงที่ผ่านมาถ้าเปรียบเป็นเส้นกราฟมันก็พุ่งขึ้นสถานเดียว จากเดิมที่ถูกล้อว่าเป็นเหมือนมิดฟิลด์เซิ้นเจิ้นในยุคที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังมีนายใหญ่ที่ชื่อ โชเซ่ มูรินโญ่  ย้อนกลับไปช่วงเวลาดังกล่าวขวบปีแรกของ เฟร็ด ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด เจ้าตัวได้โอกาสลงสนามทุกรายการเพียง 25 นัดเท่านั้น อีกทั้งส่วนใหญ่บทบาทคือตัวสำรองข้างสนาม ซึ่งสาเหตุก็เกิดจากการที่เขายังไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับฟุตบอลอังกฤษได้ มันเลยเกิดช่วงเวลาที่เลวร้ายแบบนั้นกับเขา แท้จริงแล้วโอกาสของ เฟร็ด เริ่มน้อยลงมากขึ้นนับตั้งแต่ที่ฟุตบอลกลับมาหวดกันหลังโควิด-19 ช่วงปลายซีซั่น 2019-20 ถึงแม้ก่อนหน้านั้นผลงานของเขาจะได้รับคำชื่นชมแบบถาโถม แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือในวันนั้นผลงานของ ปอล ป็อกบา และ เนมานย่า มาติซ ที่จับคู่กันในแดนกลางนั้นมันยอดเยี่ยมมากจริงๆ ซึ่งมันส่งผลข้ามมายังฤดูกาลนี้ที่ 3 นัดแรก เฟร็ด ไม่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเลย จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนในวันที่ทีมพ่าย สเปอร์ส แบบเละเทะ นับตั้งแต่วันนั้น เฟร็ด ได้โอกาสลงสนามมากถึง 10 นัด จากทั้งหมด 11 เกม ซึ่งทั้งหมดคือการออกสตาร์ทเป็น 11 ตัวจริง จะมีเพียงเกมเดียวที่เขาต้องนั่งอยู่ข้างสนามคือวันที่ แมนฯ ยูไนเต็ด บุกไปพ่าย อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์ 2-1 เพียงเท่านั้น นอกจากนั้น 10 เกมดังกล่าวที่มี เฟร็ด อยู่ในสนามทีมพุ่งชนกับชัยชนะมากถึง 8 นัด ส่วนอีก 2 นัดก็แบ่งเป็น เสมอ กับ แพ้ อย่างละเกม เพชรในตม! เฟร็ด กับแสงสว่าง ในวันที่ฟ้ามืดมิดของ แมนฯ ยูไนเต็ด แน่นอนว่าประโยชน์ของ เฟร็ด อย่างที่แฟนบอลได้ชมกันคือเป็นนักเตะประเภทที่พลังปอดเหล็ก วิ่งพล่านไปทั่งสนามแบบไม่รู้จักเหนื่อย นอกจากนั้นยังเป็นมดงานทำหน้าที่เก็บกวาดแนวรุกของคู่แข่งได้เป็นอย่างดี และตอนนี้เขายังค่อยๆ พัฒนาฝีเท้ามาเป็นมิดฟิลด์ตัวเชื่อมเกม ซึ่งจากที่ผ่านมาเขาสามารถทำมันได้อย่างลงตัว แม้อาจจะไม่ได้แนบเนียบแบบระดับเวิร์ลคลาสแต่มันก็เพียงพอที่จะได้รับคำชื่นชม ตอนนี้สิ่งที่ เฟร็ด ต้องทำคือรักษามาตรฐานของตัวเองไว่ได้ และปรับปรุงประสิทธิภาพในเรื่องของเกมรุก ปิดข้อผิดพลาดของตัวเองทั้งเรื่องการจ่ายบอล หรือการสร้างสรรค์เกม แน่นอนตัวเขารู้ว่าถ้าไม่สามารถทำตามคำกล่าวที่บอกไปได้จะเจอกับอะไร เพราะในช่วงปีครึ่งที่มายังอังกฤษเขารู้แล้วว่ามันจะตกที่นั่งลำบากมาขนาดไหน แต่อย่างน้อยๆ ในห้วงเวลานี้สิ่งหนึ่งที่เรารับรู้ได้คือ เฟร็ด กลายเป็นขุมกำลังเอกของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ไปแล้ว แม้ที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะต้องเผชิญปัญหารอบด้านต่างๆ แต่ในความมืดมิดเหล่านั้นก็ยังพอมีเรื่องราวดีๆ ให้แฟนบอลได้กระชุ่มหัวใจกันบ้างจากชายชาวบราซิลที่ชื่อว่า เฟร็ด
logoline