ก่อนที่คุณจะได้ดูฟุตบอลไทยลีกมันส์ๆ ในสุดสัปดาห์นี้ เพราะมีหลายคู่ที่น่าสนใจ แต่มีหนึ่งคู่ที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญสำหรับหลายๆ คนนั่นคือเกม "ไทยแลนด์ กลาซิโก" ระหว่าง ชลบุรี เอฟซี ที่เตรียมเปิดรัง ชลบุรี สเตเดี้ยม รับมือ เอสซีจี เมืองทองฯ
โดยในนัดนี้ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่ครบรอบ 10 ปีพอดิบพอดีที่คู่นี้ได้เจอกันมา และด้วยความหลังมากมายทำให้ทีมงาน "ขอบสนามบอลไทย" ขอพาคุณไปดู 5 เรื่องน่ารู้ก่อนดู
"ฉลาม" ฟัด
"กิเลน" โดยจะมีอะไรน่าสนใจบ้างไปดูกันโลด ....
1. ทำไมศึกคู่นี้ต้องเรียก "ไทยแลนด์ กลาซิโก"
คำว่า
"เอล กลาซิโก" ที่แฟนบอลชาวไทยส่วนใหญ่ได้ยินก็คงหนีไม่พ้นการเจอกันของ 2 ทีมมหาอำนาจลูกหนังของสเปนอย่าง
เรอัล มาดริด ปะทะ บาร์เซโลน่า เพราะ 2 ทีมนี้คือโคตรบิ๊กเนมแห่งลูกหนังแดนกระทิงดุ ที่สำคัญยังเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จ และเป็นคู่ต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน ซึ่งมันมีความยิ่งใหญ่ในเกมของมันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
เฉกเช่นเดียวกับ
ชลบุรี เอฟซี ที่ถือเป็นทีมเก่าแก่ของเมืองไทย และมาจ๊ะเอ๋กับทีมใหญ่ที่เพิ่งโตในไทยลีก ณ ตอนนั้น (2009) อย่าง
เมืองทอง ที่เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นไทยลีกแล้วดังเลย
อีกทั้งทั้งสองทีมก็คราครั่งไปด้วยนักเตะชื่อดังระดับประเทศมากมาย มีแฟนบอลติดตามเป็นจำนวนมาก เจอกันที่ไรใส่กันมันส์ตลอด และตอนนั้นยังไม่มีทีมบิ๊กเนมเยอะอย่างในตอนนี้ ทำให้สื่อและคนในวงการบอลไทยเรียกคู่นี้ว่า
"ไทยแลนด์ กลาซิโก"
2. สถิติที่น่าสนใจของคู่นี้
ทั้งคู่เคยเจอกันรวมทุกรายการ 23 นัด เอสซีจี เมืองทอง เหนือกว่าเล็กน้อย เมื่อชนะ 10 นัด เสมอ 6 นัดและแพ้ 7 นัด
ถ้านับเฉพาะเวที
"ไทยลีก" ทั้งคู่เจอกัน 19 นัด
เอสซีจี เมืองทอง เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด เมื่อชนะไปถึง 10 นัด เสมอ 6 นัด และแพ้เพียงแค่ 3 นัดเท่านั้น
แต่ถ้าเอาเกมที่เตะกัน ณ
บ้านของ ชลบุรี และนับเฉพาะไทยลีกเหมือนในนัดนี้
"ฉลามชล" มีผลงาน ชนะ 2 นัด เสมอ 3 นัด และแพ้ 4 นัด โดยยิงได้ 9 ประตู เสีย 17 ประตู
3. ใครเคยทำอะไรที่น่าจดจำไว้บ้าง
ข้อนี้จริงๆ ต้องย้อนกลับไปพอสมควร เพราะมันเป็นยุคที่ เอสซีจี เมืองทอง มีนักเตะที่ชื่อว่า
มาริโอ ยูรอฟสกี้ ที่ปัจจุบันตอนนี้ย้ายไป 2 ครั้งแล้วทั้งกับ ทรู แบงค็อก และล่าสุดกับ บีจี เอฟซี
ซึ่งเขาเป็นผู้เล่นที่ทำประตูในศึก "ไทยแลนด์ กลาซิโก" ได้มากที่สุดที่ 9 ประตู และที่สำคัญเขายังเป็นคนเดียวที่ทำ "แฮตทริก" ได้ในเกมที่คู่นี้เจอกันอีกด้วย โดยเกมนั้นเกิดขึ้นในปี 2015 และจบด้วย กิเลน ชนะ ฉลาม 4-2
ส่วนอีกคนคือ
"โคเน่ โมฮาเหม็ด" หลายคนน่าจะจำชื่อนี้ได้ดี เพราะนี่คือนักเตะผิวสียุคแรกๆ ที่สร้างชื่อในไทยลีก และหนึ่งเรื่องที่เขาทำเอาไว้ในศึกไทยแลนด์กลาซิโกคือ
เป็นผู้เล่นเพียงรายเดียวที่ทำประตูได้ทั้งในฐานะผู้เล่น เมืองทอง และ ชลบุรี
4. ครบรอบ 1 ทศวรรษกับเกม "ไทยแลนด์ กลาซิโก"
ย้อนหลับไปเมื่อปี 2009 ณ เวลานั้น
"ฉลามชล" ถือเป็นเต็งจ๋าลุ้นคว้าแชมป์ไทยลีกบดบี้กับ
"กิเลนผยอง" น้องใหม่ที่เพิ่งขึ้นมาได้อย่างสนุก และที่เป็นไฮไลท์ให้ทุกๆ พูดถึงกันอยู่จนถึงวันนี้คือการเจอกันของคู่นี้และเป็นการกำเนิด "ไทยแลนด์ กลาซิโก้"
โดยเกมนัดดังกล่าว
ชลบุรี ออกนำห่างไปถึง 2-0 แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อเกมยังไม่จบอย่าเพิ่งนับสกอร์บนบอร์ด เพราะ
"กิเลนผยอง" ทำเรื่องเหลือเชื่อเมื่อพลิกแซงยิงถึง 5 ลูกรวดพลิกชนะแบบสุดมัน
2-5 โดยเป็นแมตช์สุดคลาสสิคหลายคนยังจำได้ และที่สำคัญเกมนี้ถือเป็นการพ่ายแพ้แบบเละเทะของ ชลบุรี เอฟซี เป็นเกมแรกๆ ในไทยลีกอีกด้วย
ตั้งแต่ปี 2009 เรื่อยมาจนถึงปี 2018 ที่คู่นี้ดวลกันมา ทำให้เกมในวันเสาร์นี้ (21 เม.ย.) จะเป็นฉลองการเจอกันครบ 1 ทศวรรษ ระหว่าง ชลบุรี เอฟซี พบกับ เอสซีจี เมืองทองฯ อีกด้วย
5.ครั้งแรกที่คู่นี้เจอกันโดยไม่มี "กุนซือใหญ่"
จากการแข่งขันตลอดระยะเวลา 20 กว่าเกมที่คู่นี้เตะกันมาไม่เคยมีครั้งไหนที่จะเหมือนกับครั้งนี้ เพราะนัดที่ 24 ที่จะเล่นกันในวันเสาร์นี้ทั้งสองทีมจะสู้กันโดยที่ยังไม่มี
"กุนซือใหญ่"
สำหรับ ฉลามชล อยู่ภายใต้การดูแลของ "โค้ชโบ้" จักรพันธ์ ปั่นปี ซึ่งเป็นผู้ช่วยโค้ชของ โกรัน บาร์ยัคทาเรวิช อดีตกุนซือที่เพิ่งขอลาออกไปก่อนหน้านี้
เช่นเดียวกับ กิเลนผยอง ที่มี "โค้ชใหม่" สันติ ไชยเผือก ผู้ช่วยของ "โค้ชแบน" ธชตวัน ศรีปาน เป็นกุนซือชัดตาทัพอยู่ในขณะนี้
และดูจากผลงานโดยรวมของ
"กุนซือขัดตาทัพ" ทั้งสองทีมแล้วถือว่าน่าสนใจทีเดียว โดย "โค้ชโบ้" คุมทีมมาแล้ว 2 นัด ชนะ 1 และแพ้ 1 นัด ส่วน "โค้ชใหม่" มีผลงานที่ยอดเยี่ยมเมื่อยังคง "ไร้พ่าย" แบ่งเป็นชนะ 3 นัด และเสมอ 2 นัด
บทความโดย : บอลกูรู (เจษดาพร ศรีสรง)
ขอบคุณรูปภาพจาก : ชลบุรี เอฟซี และ เอสซีจี เมืองทอง