logo-heading

หลังจากที่ ลิเวอร์พูล พ่ายคาบ้านให้กับ เบิร์นลี่ย์ แบบช็อกโลก 0-1 สร้างความเศร้าโศกให้กับสาวก เดอะ ค็อป ไปทั่วทุกแห่งหน เพราะเป็นช่วงที่ฟอร์มกู่ไม่กลับ แถมพังคาถิ่นแอนฟิลด์ ในรอบเกือบ 4 ปี และ ทันใดนั้น สมองก็ประมวลผลออกมาแบบเต็มไปหมด ว่าเพราะอะไรทำไม หงส์แดง ถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทั้งๆที่พวกเขามีดีกรีเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อซีซั่นก่อน ซึ่งเกือบจะสร้างสถิติเป็นแชมป์ไร้พ่ายแล้วด้วยซ้ำ

เมื่อกลั่นกรองออกมา หลายสิ่งหลายอย่าง ก็ตกผลึก เอฟเฟ็กต์จากเกมแพ้ เบิร์นลี่ย์ ฟ้องว่าทำไม ลิเวอร์พูล ถึงกำลังตกอยู่ในสภาพอันย่ำแย่ และ ความจริงบางอย่างนี้ คือสิ่งที่ หงส์แดง ต้องรับ รอเวลาเพื่อฝ่าฟันไปให้ได้

- เลิกดื้อแพ่ง แล้วซื้อกองหลังมาแก้วิกฤติ

ในระบบการทำทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ และ ทีมงาน พวกเขาจะจับตามองนักเตะที่สนใจ และ เก็บสถิติมาชำแหละแบบยิบย่อย เพื่อทำให้แน่ชัดว่าเป้าหมายนี้ เมื่อนำตัวมาแล้ว จะไม่มีคำว่าล้มเหลว ไม่ยอมเอาเงินไป "ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" จะเห็นว่าพวกแข้งหน้าใหม่ ที่ซื้อเข้ามา มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ไม่ประสบความสำเร็จ คล็อปป์ อยากได้ใคร ก็จะต้องเอาให้ได้ อาทิ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่ ลิเวอร์พูล ตัดสินใจไม่ซื้อกองหลังคนไหนมาเลยในช่วงซัมเมอร์ และ รอไปสู่ขออย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2018 ซึ่งกินเวลาไปถึง 6 เดือน ทั้งๆที่แนวรับย่อยยับเป็นกระดาษทิชชู่เปียกน้ำ แต่ทุกอย่างมันชี้ชัดว่า "การรอคอยมันหอมหวาน" เพราะ ฟาน ไดค์ เข้ามาเปลี่ยนแผงหลังเวิลด์แก๊ส มาเป็นกองหลังเวิร์คคลาส ทีส่วนสำคัญทั้งคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แต่ในคือสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ไม่อาจนำมาใช้กับสถานการณ์ปัจจุบันได้อีกแล้ว ! ตอนนั้นมีกองหลังอยู่กันครบ ไม่มีใครบาดเจ็บ รอแค่คนที่ใช่มาเติมเต็ม แต่ตอนนี้เซ็นเตอร์แบ็ก เดี้ยงยาวทั้งคู่ ทั้ง ฟาน ไดค์ และ โจ โกเมซ และ ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ส่วน โจเอล มาติป เหมือนเป็นนักเตะล็อตเตอรี่ ว่าเมื่อไหร่จะเจอแจ็คพ็อต เล่นได้ 2-3 นัด พักไปเกือบ 1 เดือน ต้องถอยร่น ฟาบินโญ่ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน มายืนเป็นเซ็นเตอร์จำเป็น ต่อให้ ฟาบินโญ่ จะทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ผมยังยืนยันคำเดิมว่า มิดฟิลด์ตัวตัดเกม ยังเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดของเขา .. ด้วยฟอร์มแบบนี้ ผลงาน หงส์แดง ลงเหวแบบนี้ เกมรับก็มีส่วนครับ แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ กลับโชว์นิ่ง ให้สัมภาษณ์แบบสะเทือนใจว่าอาจไม่มีนักเตะหน้าใหม่เข้ามาสู่ทีมอีกแล้วในช่วงเดือนมกราคม นี้  จริงอยู่ที่การซื้อ-ขายเดือนมกราคม ไม่ใช่เรื่องง่าย อาจมีปัญหาเรื่องการต่อรองราคา แต่เวลานี้ ลิเวอร์พูล ต้องการกำลังเสริมเรื่องแผงหลังมากที่สุด เลิกดื้อแพ่งเรื่องที่คิดว่านักเตะในทีมสามารถถอยไปเล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ็กได้เสียที ไม่มีเวลาจะคิดมากอีกแล้ว พวกเขามีเหตุผลมากมายที่จะเกลี่ยกล่อมนักเตะสักคนนึง มาอยู่กับทีม อาจจะเจอความยากลำบาก แต่ถ้าพัฒนาเพื่อทีม มันเป็นสิ่งที่คุ้มค่าจริงๆ

- มองโลกแห่งความเป็นจริง อาจต้องเลิกหวังเรื่องป้องกันแชมป์

การพ่ายแพ้คาบ้านต่อ เบิร์นลี่ย์ 0-1 เป็นเหมือนตัวตกผลึกที่ฟ้องว่า ลิเวอร์พูล ณ ตอนนี้ ไม่เหมือนกับ  เมื่อฤดูกาลก่อน อีกแล้ว เกมที่ควรชนะง่ายๆ แต่มันกลายเป็นของยาก แมตช์ที่เคยตามหลัง แล้วโกงความตายพลิกกลับมาชนะ แทบไม่เห็นอีกแล้ว การเก็บ 90 คะแนน หรือไปแตะ 100 แต้ม ซีซั่นนี้ แทบไม่มีความหวังให้เห็น เสมอ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 1-1 / เสมอ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 0-0 / แพ้ เซาธ์แฮมป์ตัน 0-1 และ มาแพ้ เบิร์นลี่ย์ 0-1 ไม่ใช่อุบัติเหตุทางลูกหนัง แต่มันเกี่ยวกับเรื่องความมั่นใจล้วนๆ และ ที่สำคัญแรงกระตุ้นกับมุ่งมั่น มันลดน้อยถอยลงไปเยอะ ด้วยความสำเร็จที่มาไวเหมือน เดอะ ฟาส ภาค 10 ทั้งแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ  ความสำเร็จเหล่านั้น มันเหมือนเป็นตัวตั้งมาตฐานให้สาวก "เดอะ ค็อป" ทึกทักกันไปว่า ซีซั่นนี้พวกกูมีโอกาสป้องกันแชมป์อีกครั้ง เพราะขุมกำลังชุดนี้ คืนความสุขมาสู่สโมสรอีกครั้ง .. บางทีความฝัน ความหวัง กับ ความเป็นจริงก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ช่วงโปรแกรมเตะถี่ เจอกับคู่แข่งที่ไม่อยากนัก แต่ ลิเวอร์พูล เก็บได้เพียงแค่ 3 แต้ม จากการลงเล่น 5 นัดหลังสุด ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ดังนั้นพอชำเหลือบมองไปยังตารางคะแนน จากเคยเป็นจ่าฝูงหนาวมาก ร่วงลงมาอยู่อันดับ 4 ของตาราง มี 34 แต้ม ตามหลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 6 คะแนน จริงอยู่ที่มันเป็นแต้มที่ไม่ได้ห่างไกลกันลิบตา แต่ด้วยฟอร์มแบบนี้ ผลงานแบบนี้ สิ่งที่ ลิเวอร์พูล ควรโฟกัสมากที่สุด คือการรักษาตำแหน่งท็อปโฟร์ เพื่อไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นหน้าให้ได้เสียก่อน เพราะทีมที่ตามตูดคือ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ซึ่งห่างกันแค่ 1 แต้ม และ เหมือน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะสวมบทผู้กำกับให้มันดูดราม่า เพราะเกมต่อไป หงส์แดง ต้องบุกไปเยือน "ไก่เดือยทอง" หากแพ้กลับมา นั่นหมายความจะร่วงจาก 4 อันดับแรกทันที !

- ดิโอโก้ โชตา สำคัญไฉน

ปัดฝุ่นความทรงจำกันสักนิด ย้อนเวลากลับไปช่วงตลาดซัมเมอร์ปีที่ผ่านมา จะเห็นกันได้เลยว่า ลิเวอร์พูล แทบไม่มีข่าวกับนักเตะกองหลังเลยสักนิด ถึงแม้จะตัดสินใจปล่อยตัว เดยัน ลอฟเรน ปราการหลังตัวอะไหล่ ออกจากทีมไป เพราะส่วนใหญ่จะพวกบรรดานักเตะแนวรุกมากกว่า อาทิ ติโม แวร์เนอร์ / จาดอน ซานโช่ หรือ ไค ฮาแวร์ตซ์ อะไรทำนองนี้ ! เหมือนกับ เจอร์เก้น คล็อปป์ มีลางสังหรณ์ว่า 3 ประสานแนวรุกตัวเอ้ ทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ / ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ จะต้องประสบพบเจอเรื่องฟอร์มต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แบบที่เคยเป็นมาก่อน เพราะในขุมกำลัง หงส์แดง ชุดนี้ แทบไม่มีนักเตะคนไหน จะมาเบียด 3 ตัวจริงได้เลย ไม่ว่าจะเป็น ดิว็อค โอริกี้ / ทาคุมิ มินามาโนะ หรือ แม้กระทั่ง เซอร์ดาน ชากิรี่ ยกเว้นใช้ระบบ โรเตชั่น แต่ถ้าหากได้คนใหม่เข้ามา อย่างน้อยก็จะเป็นตัวกดดัน หรือ นักเตะที่คอยแข่งขันกันในทีม เพื่อให้กองหน้าทั้ง 3 คน มีแรงกระตุ้นที่จะพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา มิเช่นนั้นคุณอาจจะหลุดตำแหน่งตัวจริงได้ทุกเมื่อ และ สิ่งที่ คล็อปป์ กับทีมงานได้คาดเอาไว้ มันก็เริ่มแสดงให้เห็น ฟีร์มิโน่ ที่เคยเป็นปัจจัยสำคัญในแนวรุก กลายเป็นพวกปืนฝืด ทำอะไรแทบไม่ได้ / โม ซาลาห์ ที่เคยกระชากหาย เมื่อเจอตามเป็นเงาก็แทบไปไม่เป็น ส่วน ซาดิโอ มาเน่ ไม่แผลงฤทธิ์เป็น เดอะ แบก เหมือนที่เคยทำได้ ฉะนั้นการทุ่มเงินซื้อ ดิโอโก้ โชต้า จาก วูล์ฟแฮมป์ตัน ด้วยเงินสูงถึง 41 ล้านปอนด์ จึงเกิดขึ้น อาจเป็นราคาที่มหาโหด กับ นักเตะที่ยังไมได้พิสูจน์อะไรมากมาย แต่มันกลับกลายเป็นว่า คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ทันที เพราะ โชต้า เหมือนเป็นนักเตะที่ขี่ม้าขาว มาช่วย ลิเวอร์พูล ได้ทันเวลาพอดี ในช่วงที่กองหน้าฟอร์มตก .. 15 นัด 9 ประตู คือสถิติที่บ่งบอกเลยว่า โชต้า สำคัญกับ หงส์แดง มากขนาดไหน ในวันที่หลายคนอาจคิดถึงเพลย์เมกเกอร์ที่คอยปั้นเกมสักคน แต่เชื่อเถอะว่า โชต้า คือคนที่สาวก "เดอะ ค็อป" ควรคิดถึงมากที่สุด ความหิวกระหายของเขา ความอยากจะโชว์ของให้แฟนบอลได้เห็นเป็นขวัญตา มันเลยผลิดอกออกผล แบบที่เขายิงประตูให้กับ ลิเวอร์พูล น่าเสียดายที่ต้องบาดเจ็บไป 2 เดือน ตั้งแต่ช่วงกลางธันวาคม ฉะนั้น ลิเวอร์พูล ตั้งตารอคอยกันแล้วว่าเมื่อไหร่ โชต้า จะกลับมา เพราะมันเป็นอาวุธให้กับทีม ได้กลับเฉิดฉายอีกครั้ง

- คู่แข่งดักทางได้หมดแล้ว

การพ่ายแพ้ หรือ เสมอ กับเกมที่ควรได้ 3 คะแนน จะเอ่ยปากโทษแต่นักเตะ ลิเวอร์พูล อย่างเดียวก็ไม่ได้หรอกครับ คุณต้องให้เครดิตกับคู่แข่ง ที่เรียนรู้และศึกษาแท็คติคมา ในแบบที่หนักหน่วงเช่นกัน เหมือนวลีที่ว่า "รู้เขา รู้เรา รบ 100 ครั้ง ชนะ 100 ครั้ง" "เกเก้น เพรสซิ่ง" คือแท็คติคที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับ ลิเวอร์พูล / จะต้องอาศัยความฟิตอันหนักหน่วง อารมณ์วิ่งแบบไม่มีหมด ต่อให้ต้องเล่น 120 นาที ไล่กดดันคู่แข่งตั้งแต่แดนหน้า เพื่อกลับมาเป็นฝ่ายรุกให้เร็วที่สุด โดยอาศัยเทคนิคและการจ่ายในพื้นที่สุดท้ายอันยอดเยี่ยมเพื่อปิดบัญชี ซึ่งหลายคนขนานนามแบบเท่ๆว่า ฟุตบอลในสไตล์ "เฮฟวี่ เมทัล" แท็คติคนี้ ลิเวอร์พูล ปราบศัตรูมาหมดแล้วครับ ทั้งใน พรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อาจจะมีพลาดบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับฟุตบอล ขนาดที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้บัญญัติฟุตบอลแบบฉบับ "ติกิ-ตาก้า" ยังต้องมาเล่นแบบเจียมตัว เมื่อครั้งบุกมายังแอนฟิลด์ เพราะถ้าขืนมาเปิดหน้าแลกกับ หงส์แดง เหมือนคุณแพ้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง เมื่อ ลิเวอร์พูล ชนะบ่อยๆเข้า มีหรือว่าพวกศัตรูที่ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จะไม่เรียนรู้ ไม่รู้จักปรับตัวอะไรสักนิด คู่แข่งเริ่มรู้วิธีการเข้าทำของ ลิเวอร์พูล เรียนรู้ว่าจะขึ้นมาแบบไหน จะฝากบอลไปที่ใคร หรือ ต้องเล่นแบบไหน เพื่อสร้างโปรแกรมบัค ให้แท็คติค "เกเก้น เพรสซิ่ง" ปั่นป่วน คำตอบคือ ลงไปตั้งรับให้ลึกสุดใจ ปล่อยให้ ลิเวอร์พูล ครองบอลวนไป แพ็คแนวรับ 2 ชั้น ให้แน่นหนามากที่สุด ซึ่งในช่วง 4-5 เกมหลังสุด เห็นผลทันตา ถึงแม้ ลิเวอร์พูล จะครองบอลระดับ 70-80 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่อาจเจาะแนวรับคู่แข่งได้เลย พอเสียการครองบอล ก็โดนโต้กลับเร็ว แทบเสียประตูอยู่ตลอด การครอสจากด้านข้าง โดยใช้ความแม่นของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มันไม่ได้ผลอีกแล้ว การทำประตูจากลูกเตะมุมขาดพิษสงไปเยอะ เมื่อไม่มี ฟาน ไดค์ และ ความสามารถเฉพาะตัว 3 ประสานแดนหน้า ไปกันไม่เป็น เมื่อโดนประกบตามเป็นเงา ดังนั้นคำถามต่อนี้ คือ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะปรับแท็คติคอย่างไร บางครั้งคนเราก็ตั้งธงเรื่องความสมบูรณ์แบบมากเกินไป เมื่อถึงคราวต้องผิดหวัง มันก็ตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน แบบที่ ลิเวอร์พูล กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้

ฮาย ฮาวดี้ -

logoline