logo-heading

เริ่มต้นที่การจัดทีมกันก่อนเลย แมนเชสตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในฐานะเจ้าถิ่นใส่ชุดผสมลงเล่นในบอลถ้วยเอฟเอ คัพ เมื่อกลางสัปดาห์แล้วก็ชนะ สวอนซี้ ซิตี้ มาได้ 3-1 ก็กลับมาจัดชุดใหญ่ใส่เต็มอีกครั้ง ตัวหลักๆ อย่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, ฟิล โฟเด้น และ อิลคาย กุนโดกัน อยู่กันครบ แต่ที่แอบเซอร์ไพรส์หน่อยก็คือ กาเบรียล เฆซุส ได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า

  ขณะที่ทีมเยือนของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ทั้งสภาพทีมและจิตใจนั้นสะบักสะบอมอย่างหนักหลังต้องเล่นถึง 120 นาที ก่อนจะแพ้ เอฟเวอร์ตัน ไป 5-4 ประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้ต้องหมดลุ้นแชมป์ไปอีกหนึ่งรายการ มาในเกมนี้ก็ยังจัดทีมชุดที่ดีที่สุดลงเล่น นำมาโดย แฮร์รี่ เคน, ซน เฮือง-มิน และ ลูคัส มูร่า ซึ่งจะว่าไปตามทรงแล้วเนี่ย บอกได้คำเดียวเลยว่า สเปอร์ส รอดยาก เพราะด้วยผลงานในช่วงหลังนั้น "เรือใบ" แล่นฉิว สวนทางกับ "ไก่เดือยทอง" ที่สาละวันเตี้ยลงๆ ซึ่งพอเอาเข้าจริงๆ ถึงเวลาเริ่มเกม แมนฯ ซิตี้ ก็ทำได้เช่นนั้นไม่ปล่อยให้ใครต้องผิดหวัง เมื่อเป็นฝ่ายทำเกมรุกเดินหน้าบุกเข้าใส่ สเปอร์ส แบบไม่หยุดยั้ง เหนือกว่าทุกรูปแบบจริงๆ แต่ก็ดันเกือบโดนออกนำก่อนในนาทีที่ 14 จากจังหวะปั่นฟรีคิกของ "เฮอร์ริเคน" ที่บอลเจ้ากรรมนั้นพุ่งไปชนเสาแบบเต็มเปา ไม่ได้เข้าประตูไป และถัดจากจังหวะนั้นอีกแค่ 7 นาที ความพยายามบุกเข้าใส่ของ แมนฯ ซิตี้ ก็เป็นผลจนได้ จากจังหวะที่ ปิแอร์-เอมิล ฮอยแบร์ก กองกลางจอมขยันของ สเปอร์ส นั้นไปตัดบอลพลาดเข้าใส่ อิลคาย กุนโดกัน ล้มลงไปในเขตโทษ ผู้ตัดสินไม่รอช้า เป่าเป็นจุดโทษทันที ซึ่งคราวนี้ กุนโดกัน ที่ปกติต้องรับหน้าที่สังหาร แต่ก็เพิ่งพลาดมาหมาดๆ ในเกมถล่ม ลิเวอร์พูล ก็ปล่อยให้ โรดรี้ รับหน้าที่สังหาร ซึ่งเอาจริงๆ ก็ยิงไม่ได้คม ไม่ได้เสียบมุมเลยนะ อีกนิดเดียว อูโก้ โยริส ก็จะปัดบอลออกไปได้แล้ว แต่คราวนี้ปัดไว้ไม่อยู่ บอลพุ่งเข้าประตูไป ส่งให้ แมนฯ ซิตี้ ขึ้นนำ 1-0  ช่วงเวลาที่เหลือของครึ่งแรก "เรือใบสีฟ้า" ก็ยังเป็นฝ่ายที่เหนือกว่าพยายามเดินหน้าหาประตูที่ 2 แต่ก็ได้แค่เฉี่ยวไปเฉี่ยวมา จนจบครึ่งแรกสุดท้ายก็ยังนำอยู่แค่ 1-0  แม้ฟอร์มการเล่นจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่การที่จบครึ่งแรกไปแล้วตามหลังแค่ลูกเดียวนั้น มันทำให้ สเปอร์ส ยังมีหวังจะกลับมา ซึ่ง โชเซ่ มูรินโญ่ ก็โชว์กึ๋นแก้เกมทันที ด้วยการถอด ลูคัส มูร่า ออกแล้วส่ง มูสซ่า ซิสโซโก้ ลงมาเล่นแทน หวังจะให้เกมในแดนกลางนั้นแข็งแกร่งขึ้น แล้วค่อยลำเลียงบอลไปสู่แดนหน้าเพื่อล่าประตู แต่แผนที่ น้ามู แก้มานั้น แทบจะยังไม่ทันได้ใช้การ เพราะในนาทีที่ 50 หรือเริ่มครึ่งหลังได้ 5 นาที ลูกทีมของพี่เป๊ป แกก็มานำห่างเป็น 2-0 จากจังหวะที่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กระชากฝ่าวงล้อมผู้เล่น สเปอร์ส ก่อนจะจ่ายต่อให้ อิลคาย กุนโดกัน วิ่งเข้ามาซัดผ่านตาข่ายหายไป หลังออกนำ 2-0 ลูกทีมของ เป๊ป ก็ผ่อนเกมลงนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับทิ้งหรือประมาท ยังหาโอกาสซัดประตูที่ 3 อยู่เรื่อยๆ แต่ก็มีโดน สเปอร์ส บุกขึ้นมาลุนตีไข่แตกด้วยเช่นกัน แต่ในเมื่อท้ายสุดทำไม่ได้ แมนฯ ซิตี้ ก็จัดการฝังซากไก่ซะเลยในนาทีที่ 66 แถมลูกนี้ที่ได้มันพิเศษหน่อยตรงที่คนแอสซิสต์นั้นคือ เอแดร์ซอน นายด่านของ แมนฯ ซิตี้ ที่เปิดบอลยาวมาจากหน้าปากประตู มาให้ อิลคาย กุนโดกัน เบียดเอาชนะผู้เล่น สเปอร์ส เข้าไปหลุดยิงหนีมือ อูโก้ โยริส เข้าประตูไปกลายเป็น 3-0 พูลสวัสดิ์ และเป็นประตูที่ 2 ของ กุนโดกัน อีกด้วย อย่างไรก็ตาม กองกลางทีมชาติเยอรมัน ก็หมดสิทธิ์ลุ้นแฮตทริกเพราะนาทีที่ 69 เจ้าตัวก็ถูกถอดออกจากสนาม เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บเล่นต่อไม่ไหว ทำให้ต้องส่ง แฟร์ราน ตอร์เรส ลงมาเล่นแทน ขณะที่ทางฝั่ง โชเซ่ มูรินโญ่ ก็ส่ง แกเร็ธ เบล ลงมาแทน เอริค ลาเมล่า แต่ทว่าสุดท้ายจบ 90 นาที มันก็ไม่ได้มีอะไรขยับ จบลงไปด้วยชัยชนะของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เก็บเพิ่มอีก 3 คะแนน ทิ้ง เลสเตอร์ ซิตี้ รองจ่าฝูงอยู่ถึง 7 คะแนน แถมมีเกมในมือมากกว่าอีกด้วย เรียกได้ว่าถ้วยแชมป์รออยู่อีกไม่ไกลแล้ว  ขณะเดียวกันตัดสลับมาที่ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ความพ่ายแพ้เกมนี้ทำให้ "ไก่เดือยทอง" แพ้ถึง 4 จาก 5 เกมหลังสุดใน พรีเมียร์ลีก เอาง่ายๆ คือเก็บได้แค่ 3 แต้มจาก 5 นัด และก่อนหน้าเกมนี้ก็เพิ่ง 120 นาที แพ้ เอฟเวอร์ตัน ร่วงตกรอบ เอฟเอ คัพ มาหมาดๆ อีกด้วย ซึ่งพอผลงานมันเป็นแบบนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจที่ โชเซ่ มูรินโญ่ จะขึ้นแท่นเป็นเต็ง 1 กุนซือที่จะโดนไล่ออกในเร็ววันนี้ ซึ่งจะโดนหรือไม่โดนเมื่อไหร่ เราก็ต้องติดตามกันต่อไป แต่ผลงานตอนนี้ของน้องไก่ บอกได้คำเดียวว่าไม่ไหวจริงๆ  

ชิน ชินพัฒน์

logoline