logo-heading

ลิเวอร์พูล อยู่ในฟอร์มที่กู่ไม่กลับจริงๆ เมื่อล่าสุดบุกไปพ่ายให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-3 และ เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย เมื่อพวกเขาทำผิดพลาดกันจนเสียประตู โดยเฉพาะการเปิดซิงเกมแรกของ โอซาน คาบัค แนวรับตัวใหม่ ที่เป็นเหมือนฝันร้ายที่เขาคงลืมไม่ลง เกิดอะไรขึ้นบ้างในเกมนี้ ทำไม หงส์แดง ยังสาละวันเตี้ยลง ไปติดตามกัน

แนวรุกไม่คม

ว่ากันตามตรง ลิเวอร์พูล มีโอกาสแบบฝังทองลูกนิมิต อยู่ 2-3 หน ในช่วงครึ่งแรก ทั้งจังหวะที่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน วางบอลยาวจากแดนหลัง ไปให้กับ ซาดิโอ มาเน่ หลุดกับดักล้ำหน้า แต่เหมือนว่าพี่แกจับบอลไม่ดี หรือ สองจิตสองใจว่าจะส่งหรือยิงดี กลายเป็นว่าทำเสียของ ไม่ได้ยิงไปเอง ส่วน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ บอกเลยว่าครึ่งแรกโอกาสเพียบ มีช็อตได้หลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษแล้ว แต่จังหวะกระชากบอล เพื่อเข้าไปพื้นที่สังหาร กลับทำได้ไม่ดี กลายเป็นบอลไปโดนเหลี่ยมเท้าขวาข้างไม่ถนัด ยิงออกไปไม่ได้ลุ้น ยังมีช็อตที่ได้หลุดเข้าไปกรอบเขตโทษฝั่งขวา พยายามจะกึ่งยิงกึ่งผ่านเข้ามา บอลผ่านตัว แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล มาแล้ว กำลังจะมี ซาดิโอ มาเน่ วิ่งมาเข้าตรงจุดนัดพบ แต่ตรงนั้นมีนักเตะ เลสเตอร์ ยืนอยู่เคลียร์ทิ้งไปไม่ได้ รวมไปถึงจังหวะกดด้วยซ้าย จากลูกเตะมุม แต่ก็หลุดออกกรอบไปไกล โอกาสน่ะมี ทว่าจบสกอร์กันไม่เฉียบขาดกันไปเอง

คาบัค เกือบโดนรับน้อง

เกมนี้ โอซาน คาบัค ถูกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะว่าเขาได้ประเดิมสนามเป็นตัวจริงครั้งแรกให้กับ ลิเวอร์พูล หลังจากไปดึงตัวมาจาก ชาลเก้ 04 ก่อนตลาดหน้าหนาวจะปิดตัวลง โดยก่อนหน้านี้ ฟาบินโญ่ ก็เจออาการบาดเจ็บเล่นงานไปอีก 1 ราย อย่างไรก็ตาม อะไรที่เป็นครั้งแรก มักยากและตื่นเต้นอยู่เสมอ คาบัค เกือบจะโดนรับน้องอยู่แล้ว เพราะ เลสเตอร์ ซิตี้ มีตัวจี๊ดๆทั้ง เจมี่ วาร์ดี้, ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ และ เจมส์ แม็ดดิสัน ซึ่งมี 2 ช็อตที่เข้าตา โดยจังหวะแรก คาบัค โดนจ่ายตัดหลัง สปีดตามไม่ทัน วาร์ดี้ โชคดีที่ดาวยิงรายนี้ พยายามกระดกข้ามหัว อลิสซอน แต่มันไปตกบนตาข่าย ส่วนอีกลูก คาบัค เกือบจะตามรอยทายาท "เดยัน ลอฟเรน" เพราะมีช็อตที่จะเข้าสกัดแย่งบอล แต่ดันลื่นเสียจังหวะ บอลไปเข้าทาง เจมี่ วาร์ดี้ พลิกไปยิงแบบซัดเต็มข้อ โชคดีที่ลูกมันไปโดนคานเต็มๆ

เพรสซิ่งเป็นเหตุ ให้ หงส์แดง ยิงขึ้นนำ

เริ่มครึ่งหลังมา เจอร์เก้น คล็อปป์ สั่งลูกทีมให้เพรสซิ่งใส่ เลสเตอร์ มากขึ้น และ มันก็ได้ผลเอามากๆ เพราะการวิ่งไล่บีบตั้งแต่แดนหน้า ชนิดที่นักเตะ เลสเตอร์ ซิตี้ ไม่มีเวลาพักหายใจ ทำให้ หงส์แดง ครองบอลได้มากขึ้น ต่อให้เสียบอล ก็แย่งกลับมาได้อย่างว่องไว จริงๆพวกเขาเกือบจะขึ้นนำจากฟรีคิกของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่ยิงแฉลบไปชนคาน อย่างไรก็ตาม ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น เพราะหลังจาก ลิเวอร์พูล บีบกดดัน เลสเตอร์ ซิตี้ อยู่นานสองนาน ก็มาสัมฤทธิ์ผล เมื่อ เทรนท์ อาร์โนลด์ ตัดบอลจากด้านขวา ยิงไปติดบล็อคทีแรก แต่บอลเป็นใจมาเข้าทาง ตบมาให้กับ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่  จริงๆลูกนี้เขาโดนล้อมอยู่ 3 คน แต่แก้ไขช็อตได้อย่างสุดตีน ด้วยการดีดลูกหลัง "บ็อบบี้ เทิร์น" มาให้กับ โม ซาลาห์ ยืนแปดื้อๆ บอลพุ่งเสียบเสาเข้าไปอย่างเฉียบคม เป็นประตูที่ ลิเวอร์พูล รอคอยมานานเหลือเกิน นับเป็นประตูที่คลายความกดดันได้ดีจริงๆ

VAR ทำช็อค พลิกล็อค 2 ครั้งซ้อน

หลังจากที่ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ 1-0 ดูเหมือนว่าพวกเขาจะผ่อนเครื่องลงไปอย่างเห็นได้ชัด และ ปล่อยให้ เลสเตอร์ ได้มีโอกาสบุกเข้าใส่ เพื่อเป็นประตูตีเสมอ 10 นาทีผ่านไปนับตั้งแต่ออกนำ สาวก เดอะ ค็อป ก็ต้องสะดุ้งโหยงอีกครั้ง เมื่อ บาร์นส์ แหวกหนีทั้ง ติอาโก้ กับ เทรนท์ ก่อนจะโดนเตะก่อนถึงกรอบเขตโทษ VAR ไปเช็กว่าจังหวะนี้เป็นจุดโทษหรือไม่ เพราะมันก้ำกึ่งว่าอาจจะฟาวล์บนเส้น ซึ่งดูจากภาพช้า ลิเวอร์พูล รอดแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ผู้ตัดสินเป่าให้เป็นฟรีคิก แม้จะเป็นฟรีคิกระยะอันตราย แต่ก็พอจะมีโอกาสป้องกันไม่ให้เสียประตูได้ อย่างไรก็ตาม ฟรีคิกแถบซ้าย อารมณ์เหมือนเตะมุม แค่ขยับเฉียงออกมาใกล้กรอบเขตโทษ ก่อนจะเป็น เจมส์ แม็ดดิสัน บรรจงปั่นบอลเรียดเข้าไปลุ้นหน้าปากประตู เป็นลูกกึ่งยิงกึ่งผ่าน ปรากฏว่าไม่โดนใคร บอลไหลผ่านมือ อลิสซอน เข้าตุงตาข่าย ช่วงขณะที่สาวก เดอะ ค็อป กำลังนั่งหน้าบูดหน้าเบี้ยว ไลน์แมนตีธงว่าล้ำหน้า เพราะ ดาเนี่ยล อมาร์ตี้ย์ พยายามจะโฉบตัดหน้าเพื่อเล่นบอล ซึ่งเป็นการรบกวนผู้รักษาประตูชัดเจน เหมือนว่า หงส์แดง กำลังจะได้ประโยชน์จาก VAR 2 ครั้งในเกมนี้ แต่ไม่ทันไรครับ เจ้าหน้าที่พยายามตีกราฟฟิค 3-4 เส้น เพื่อจะดูให้ชัดว่ามันล้ำหน้าจริงหรือไม่ ปรากฏว่า แขนเสื้อของ ดาเนี่ยล อมาร์ตี้ย์ อยู่ในไลน์เดียวกันกับเท้าของ ฟีร์มิโน่ ทำให้ VAR เปลี่ยนคำตัดสิน เป็นประตูตีเสมอของ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-1 และ จากนั้นคือฝันร้ายที่ ลิเวอร์พูล ต้องเจอ

คาบัค-อลิสซอน พลาดมหันต์

สิ่งที่ ลิเวอร์พูล แฟนบอลไม่อยากให้เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจริงๆครับ เมื่อความผิดพลาดเข้ามาหลอกหลอนพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า คราวนี้กลายเป็น คาบัค นักเตะใหม่ ที่ออกอาการตั้งแต่ครึ่งแรก แต่ทว่าอีกครึ่งหนึ่งก็มาจากความผิดพลาดของ อลิสซอน เบ็คเกอร์ เช่นกัน จังหวะนี้ว่ากันตามตรง ไม่มีอะไรต้องกดดันเลยสักนิด บอลลอยกลางอากาศ มีเพียงแค่ อลิสซอน กับ คาบัค เท่านั้น ที่วิ่งเข้าหาบอล แต่ด้วยความที่น้อง คาบัค ยังใหม่กับ ลิเวอร์พูล ภาษาการสื่อสารอาจไม่เข้าใจกับนายทวารทีมชาติบราซิล อีกคนก็จะสกัด อีกคนก็จะเตะโด่ง ทำให้ทั้งคู่ที่มัวแต่แหงนมองขึ้นฟ้า ไปชนสนั่นล้มกันระเนระนาดในสนาม ซ้ำร้ายไปกว่านั้น บอลไปกระเด้งเข้าทาง เจมี่ วาร์ดี้ ที่ยืนอยู่โล่งๆ เลี้ยงเข้าไปยิงชนิดที่เป็นหนึ่งในลูกที่ง่ายที่สุด มอบของขวัญให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นนำ 2-1 บอกเลยว่านักเตะ หงส์แดง ขวัญเสียไปหมดแล้ว อาการออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน

หงส์แดง สติหลุด โดนยิงสลุตตอกฝาโรง

"สติมาปัญญาเกิด สติเตลิด มักเกิดประตู" เพราะหลังจากที่บอกว่านักเตะ ลิเวอร์พูล ขวัญเสียไปหมดแล้ว ถ้าอารมณ์เป็นนักมวย ก็โดนต่อยจนตาบวม เหลือเพียงแค่ขาที่ยังไม่ยอมน็อคคาสนาม แต่ เลสเตอร์ ก็รู้ดีว่าจะต้องซัดหมัดตรง เอา หงส์แดง ให้หลับให้ได้  และ จากการเสียบอลกลางสนามของ ลิเวอร์พูล ก็โดนการโต้กลับแบบสายฟ้าแลบ เมื่อ วิลเฟร็ด เอ็นดีดี้ จ่ายไหลไปให้กับ ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ หลุดเข้าไปแปรผ่านมือ อลิสซอน ตอกฝาโรงตบ ลิเวอร์พูล ดับคาสนาม ด้วยสกอร์ 3-1 จากภาพช้า โอซาน คาบัค ถูกเป็นเป้าโจมตีอีกครั้ง เพราะจังหวะนี้เจ้าตัวหลุดการประกบตัว ปล่อยให้ ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ ยืนโล่งๆ แถมเป็นช็อตที่ไม่ได้เช็คไลน์ล้ำหน้ากับเพื่อนๆ นับว่าเป็นการเปิดตัวแบบ "ฝันร้าย" จริงๆ  เช่นเดียวกับ ลิเวอร์พูล ที่ไม่รู้จะตื่นจากฝันร้ายนี้เมื่อไหร่ 

ฮาย ฮาวดี้-

logoline