logo-heading

เรียกได้ว่าสมราคาเต็ง 1 แชมป์ยุโรปประจำฤดูกาลนี้จริงๆ สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เล่นได้เหนือกว่า โบรุสเซีย มึนเช่น กลัดบัค ทุกด้าน ก่อนจะเอาชนะไปได้แบบสบายๆ 2-0 ประตู ในการแข่งขันศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดแรก ซึ่งเกมนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เราไปดูกัน

  เริ่มต้นที่การจัดทีมกันก่อนเลย นัดนี้ กลัดบัค ในฐานะเจ้าถิ่น แม้จะเล่นที่สนามกลาง ณ ประเทศโปรตุเกส เพราะเยอรมัน ยังไม่เปิดให้คนที่เดินทางจากอังกฤษเข้าประเทศ จัดทีมมาในระบบ 3-5-2 นำทัพมาโดย ยาน ซอมเมอร์, มาติอาส กินเตอร์, คริสตอฟ คราเมอร์, สเตฟาน ไลเนอร์ และคู่หัวหอกฝากความหวังไว้ที่ อลาสซาเน่ เพลอา กับ ลาร์ส สตินเดิล  ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่กำลังอยู่ในฟอร์มที่โคตรยอดเยี่ยม คว้าชัยชนะติดต่อกันมา 18 นัดซ้อน เกมนี้ก็จัดหนักจัดเต็ม ในระบบ 4-3-3 กองกลางวาง โรดรี้, อิลคาย กุนโดกัน และ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ส่วน 3 ประสานแนวรุกก็ใช้ ฟิล โฟเด้น, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ กาเบรียล เฆซุส แถมตัวสำรองยังมีชื่อของ เควิน เดอ บรอยน์ กับ เซร์คิโอ อเกวโร่ กุน นั่งรอโอกาสอยู่ที่ข้างสนามอีกด้วย ซึ่งพอเริ่มเกมมาก็เป็นไปตามคาดครับ แมนฯ ซิตี้ ดูดีและครองบอลเหนือกว่า กลัดบัค อย่างชัดเจน และได้โอกาสยิงทักทายตั้งแต่ 5 นาทีแรก จากการตะบันด้วยซ้ายนอกกรอบเขตโทษของ ฟิล โฟเด้น แต่ก็ยังไม่ผ่านมือของ ยาน ซอมเมอร์ ต่อมานาทีที่ 14 เกมรับของ กลัดบัค พลาดเสียบอลเองโดน กาเบรียล เฆซุส ดักกระชากเข้าในเขตโทษ แต่บอลดันไปกั๊กจังหวะกับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง พวกเดียวกันเองซะอย่างงั้น เลยชวดโอกาสซัดขึ้นนำ จากนั้นนาทีที่ 26 ราฮีม สเตอร์ลิ่ง โดน รามี่ เบนเซไบนี่ แนวรับ "สิงห์หนุ่ม" สอยร่วงลงไปในกรอบเขตโทษ เจ้าตัวพยายามโวยเรียกเป็นจุดโทษ แต่ผู้ตัดสินก็ไม่ได้เป่าให้เพราะมองว่า เบนเซไบนี่ นั้นสกัดโดนบอล อย่างไรก็ตามนาทีที่ 29 ความพยายามของ "เรือใบสีฟ้า" ก็ประสบความสำเร็จ ได้ประตูออกนำจนได้ จากจังหวะที่ ชูเอา กานเซโล่ ลุยเติมเกมรุกบุกขึ้นมาทางซ้าย ก่อนจะล็อคตัดเข้ากลางและวางยาวตัดแผงหลัง กลัดบัค เข้าไปในเขตโทษ บอลลอยมาตกที่หัวของ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ที่สอดเข้ามาโขกเข้าไปตุงตาข่าย แมนฯ ซิตี้ ออกนำได้สำเร็จ 1-0 และกลายเป็นประตูที่ 35 ของ ซิลวา นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ แมนฯ ซิตี้ แต่เพิ่งจะเป็นประตูที่ 3 ที่ทำได้จากการโหม่ง หลังจากขึ้นนำก็ยังคงเป็นทางฝั่งจ่าฝูงของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ยังทำได้ดีกว่าอย่างชัดเจน ทั้งการครองบอลและการหาโอกาสจบสกอร์ แต่ก็ยังบวกสกอร์เพิ่มไม่ได้ ทำให้จบครึ่งแรกไปก็ยังนำอยู่แค่ 1-0 เข้าสู่ครึ่งหลัง แม้ว่า แมนฯ ซิตี้ จะยังเป็นฝ่ายทำได้ดีกว่า แต่รูปเกมของ "สิงห์หนุ่ม" ก็ดูดีขึ้นกว่าครึ่งแรกเล็กน้อย และเกือบตีเสมอได้สำเร็จซะด้วยในนาทีที่ 62 จากจังหวะสวนกลับที่ เดนิส ซากาเรีย เปิดบอลจากทางขวาเข้ากลางมาให้ เพลอา ดีดลูกส้น แต่บอลก็หลุดกรอบออกไปนิดเดียวเท่านั้น และพอตีเสมอไม่สำเร็จ 3 นาทีถัดมา ก็กลายเป็น แมนฯ ซิตี้ ที่ได้ประตูทิ้งห่างเป็น 2-0 จากจังหวะที่ กานเซโล่ เปิดบอลข้ามฟากไปให้ แบร์นาร์โด้ ซิลวา โขกชงย้อนกลับมาเข้าทาง กาเบรียล เฆซุส กระโดดมาจิ้มบอลผ่านมือ ซอมเมอร์ เข้าประตูไป พอโดนลูกที่ 2 ก็เห็นได้ชัดว่าบรรดาแข้งสิงห์หนุ่ม ออกอาการถอดใจอย่างเห็นได้ชัด ส่วน แมนฯ ซิตี้ ก็มีโอกาสจะปิดกล่องฝัง 3-0 จากลูกยิงของ โฟเด้น และ ริยาด มาห์เรซ แต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายจบ 90 นาทีก็เป็น แมนฯ ซิตี้ ที่เก็บชัยชนะในฐานะทีมเยือนไปได้ก่อน 2-0 ด้วยฟอร์มการเล่นที่เหนือกว่าคู่แข่งแบบชัดเจน โดยทั้งเกมนี้ แมนฯ ซิตี้ เปิดโอกาสให้ กลัดบัค ได้ยิงแค่ 3 หนเท่านั้น และตรงกรอบแค่ครั้งเดียว! ฟอร์มแบบนี้ถ้าจะบอกว่าลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก้าวเท้าผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายไปแล้วข้างนึงก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลยอะไรนักหรอก เล่นได้สมราคาเต็ง 1 จริงๆ

ชิน ชินพัฒน์

logoline