logo-heading

สมาคมฟุตบอลเยอรมัน หรือ เดเอฟเบ แถลงอย่างเป็นทางการเรียบร้อยว่า กุนซือมากฝีมืออย่าง โยอาคิม เลิฟ จะก้าวลงจากตำแหน่งกุนซือของทีมชาติเยอรมัน หลังจากจบศึกฟุตบอลชิงแชมป์แฟ่งชาติยุโรป หรือ ยูโร 2020 ที่เลื่อนมาฟาดแข้งกันในปี 2021 นี้ในช่วงวันที่ 11 มิถุนายน - 11 กรกฎาคม แม้ว่าสัญญาจะเหลือถึงปี 2022 ก็ตาม

นั่นทำให้ โยอาคิม เลิฟ จะยุติการทำหน้าที่อันยาวนานถึง 15 ปี กับทีมชาติเยอรมัน และหากรวมตั้งแต่เป็นผู้ช่วยโค้ชแล้ว ก็เป็นการปิดฉากการทำหน้าที่ในทีมชาติที่ยาวนานถึง 17 ปี ซึ่งที่ผ่านมา เลิฟ เอง ก็มีทั้งช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมมหัศจรรย์ รวมถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากกับทีมชาติ เรียกได้ว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาอย่างยาวนาน วันนี้ขอบสนามจะพาทุกท่านย้อนไปรำลึกถึง โมเม้นต์เด่นต่าง ๆ ที่ เลิฟ เคยสร้างไว้กับทัพ อินทรีเหล็ก โมเม้นต์เด่นของ เลิฟ กับทัพ อินทรีเหล็ก 1. เริ่มต้นการคุมทีมชาติเยอรมัน หลังจาก โยอาคิม เลิฟ คุมทีม ไทรอล อินนส์บรัค สโมสรในออสเตรีย คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ในฤดูกาล 2001/2002 ก็ย้ายมาคุมทีม ออสเตรีย เวียน เป็นสโมสรสุดท้ายในการคุมทีมระดับสโมสร จากนั้น ในปี 2004 เขาย้ายจากออสเตรียกลับสู่บ้านเกิด ซึ่งเขาได้มีโอกาสเข้ามาเป็นผู้ช่วยของ เยอร์เก้น คลินส์มันน์ ผู้จัดการทีมเยอรมันในขณะนั้น โดยมีภารกิจหลักคือ การกู้สถานการณ์ทีมชาติเยอรมันให้พ้นจากวิกฤต และสร้างทีมสายเลือดใหม่ ซึ่งเขาก็ทำสำเร็จ ในศึกฟุตบอลโลก 2006 เมื่อพาทีมชาติเยอรมันคว้าอันดับ 3 มาครอง ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นกุนซือคุมทัพ อินทรีเหล็ก ตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา 2. เส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เส้นทางของเขาในฐานะเทรนเนอร์ใหญ่ของทีมชาติเยอรมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเท่าไหร่นัก หลัง เลิฟ เจอกระแสวิจารณ์อย่างหนักในเรื่องการวางแผนที่ผิดพลาด เขาถูกแบนไม่ให้คุมทีมข้างสนาม ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย หลังมีปัญหากับผู้ตัดสินที่ 4 ในรอบแรก หลังจากนั้นแม้ว่าทีมจะผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่ท้ายที่สุดก็พ่าย สเปน 0-1 ในนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลยูโร 2008 เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าอาจจะไม่ใช่คนที่คู่ควรกับ เยอรมัน ในเวลานั้น แต่ท้ายที่สุดเขาก็ได้คุมทีมต่อ ในปี 2010 โยอาคิม เลิฟ นำขุนพลอินทรีเหล็ก ประกาศศักดาบนสังเวียนฟุตบอลโลกอีกครั้ง ด้วยการพาทีมถล่มอังกฤษในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 4-1 และชนะอาร์เจนตินา 4-0 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่ขุนพล อินทรีเหล็ก ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันอีกครั้ง หลังพ่ายสเปน คู่ปรับเก่าศึกยูโร 2008 ในรอบรองชนะเลิศ ส่งผลให้ทีมชาติเยอรมัน ได้อันดับ 3 เป็นสมัยที่สอง โมเม้นต์เด่นของ เลิฟ กับทัพ อินทรีเหล็ก 3. ไร้เทียมทานผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 เยอรมัน ยังคงไม่ถึงฝั่งฝันสักทีภายใต้การนำทีมของเขา แม้กระทั่ง ยูโร 2012 ก็ไปไม่รอด แม้จะสามารถฝ่าเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศได้ แต่ท้ายที่สุดก็พ่ายให้กับ อิตาลี หนึ่งในคู่ปรับเก่าที่เคยเขี่ยเยอรมันตกรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2006 นั่นเอง ดังนั้นในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 โยอาคิม เลิฟ จึงประกาศว่า หากเขาไม่สามารถพาเยอรมันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ จะลาออกจากตำแหน่ง อย่างไรก็ตามในฟุตบอลโลก 2014 เลิฟ สามารถทำ เยอรมัน กลายเป็นทีมไร้เทียมทานยากที่จะต่อกรได้สำเร็จ ก่อนผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก หลังชนะอาร์เจนตินา 1-0 ถือเป็นการคว้าแชมป์โลก เป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี 4. ถล่ม บราซิล 7-1 ในฟุตบอลโลก 2014 เลิฟ ทำให้ทัพอินทรีเหล็กแข็งแกร่งอย่างมากในทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลโลก 2014 พวกเขาคือหนึ่งในตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์มหกรรมฟุตบอลโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปีนี้ เยอรมัน สามารถรักษามาตรฐานการเล่นในฟุตบอลโลกได้อย่างยอดเยี่ยม ทีมชุดนี้มีความสมดุลทั้งเกมรุกและเกมรับ พวกเขาฝ่าด่านต่าง ๆ จนทะลุเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ โดยการจบด้วยแชมป์รอบแบ่งกลุ่ม แบบไร้พ่าย ก่อนเอาชนะ แอลจีเรีย ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ตามด้วยการอัด ฝรั่งเศส ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย พวกเขาผ่านทะลุเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ และต้องมาเจอกับเจ้าภาพอย่าง บราซิล ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าท้ายที่สุดผลการแข่งขันจะออกมาช็อคคนดู ด้วยการที่ เยอรมัน ถล่ม บราซิล 7-1 ในถิ่นของตัวเอง จากเกมนี้เกิดสถิติต่าง ๆ มากมาย เป็นครั้งแรกของบราซิลที่เสียประตูมากที่สุดถึง 7 ประตูในเกมฟุตบอลโลก และเป็นการแพ้ในบ้านตัวเองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1975 อีกทั้ง มิโรสลาฟ โคลเซ่ ยังสร้างประวัติศาสตร์ จากประตูที่เขาทำได้ในนัดเจอบราซิล ทำให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่สามารถทำประตูในการแข่งขันในฟุตบอลโลกได้สูงสุด เป็นจำนวน 16 ประตู แซงหน้า โรนัลโด้ อดีตกองหน้าทีมชาติบราซิลอีกด้วย ชัยชนะนัดนี้ส่งให้พวกเขาเข้ารอบ ชิงชนะเลิศ ก่อนคว้าแชมป์โลกในท้ายที่สุด ถือเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงของ เลิฟ ก็ว่าได้ 5. พาทีมชาติคว้าแชมป์ คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ 2017 โยอาคิม เลิฟ พาทีมชาติประกาศศักดาต่อเนื่อง ด้วยระบบทีมยังแข็งแกร่ง แม้ขุนพลชุดลุยทัวร์นาเม้นต์ ฟีฟ่า คอนเฟเดอเรชั่นส์ คัพ จะเน้นสายเลือดใหม่ แต่ก็สามารถผ่านทะลุได้ถึงรอบชิงชนะเลิศ ก่อบดเอาชนะ ชิลี แชมป์ทวีปอเมริกาใต้ โกปา อเมริกา 2015 ไป 1-0 จากความผิดพลาดของแข้ง ชิลี เองก่อน ลาร์ส สตินเดิ้ล จะซัดประตูชัยพาทีมซิวแชมป์ ฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ เป็นสมัยแรก ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย จากผลงานที่ยอดเยี่ยมทำให้ อินทรีเหล็กกลับมายึดตำแหน่งทีมหมายเลขหนึ่งของโลกอีกครั้ง หลังประกาศศักดาคว้าแชมป์ ฟีฟ่า คอนเฟเดเรชันส์ คัพ 2017 นั่นเอง จากการคว้าแชมป์ดังกล่าวในฟุตบอลโลก 2018 พวกเขาก็ถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งในการป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลก ทว่าผลงานในทัวร์นาเม้นต์บอลโลก 2018 เยอรมัน กลับทำผลงานได้น่าผิดหวัง อินทรีเหล็กปีกหัก ทำช็อกโลก เมื่อตกรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลโลก ในรอบ 80 ปี จากผลงานในปี 2018 ทำให้ เลิฟ ถูกวิจารณ์อย่างหนัก ในปีต่อมาเขาก็ยังคงถูกวิจารณ์ในการเลือกตัวผู้เล่นติดทีมชาติอีกด้วย เมื่อเขาหั่นชื่อ โธมัส มุลเลอร์ ออกจากทัพอินทรีเหล็ก ทั้งที่ มุลเลอร์ ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับ บาเยิร์น มิวนิค โดย เลิฟ ให้เหตุผลว่าเป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนถ่ายสายเลือดใหม่ แต่ทว่าผลงาน เยอรมัน นับตั้งแต่ตกรอบแบ่งกลุ่มบอลโลก กลับไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น ความแข็งแกร่งของพวกเขาหายไป การทำทีมของ เลิฟ ถูกตั้งคำถามว่าอาจถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลง ก่อนที่เขาจะออกมาประกาศว่าหลังจบศึก ยูโร ในปี 2021 จะวางมือจากทีมชาติเรียบร้อย โมเม้นต์เด่นของ เลิฟ กับทัพ อินทรีเหล็ก 6. วีรกรรมข้างสนาม ล้วง จก ดม วีรกรรมข้างสนามของ โยอาคิม เลิฟ กลายเป็นโมเม้นต์ในความทรงจำของแฟนบอลหลายคน และถูกจดจำและถูกพูดถึงมากกว่าผลงานการคุมทีมของเขาเสียอีก เมื่อตากล้องสามารถจับภาพได้ว่า ระหว่างที่ เลิฟ นั่งคุมทีม เขามักมีพฤติกรรมที่มือไม่อยู่สุข มักจะเผลอแคะจมูก ก่อนเอาขี้มูกเข้าปาก กินอย่างสบายใจเฉิบ นอกจากนี้ ยังมีช็อตที่ เลิฟ นำมือล้วงรักแร้ ก่อนเอามาดมอีกด้วย อีกหนึ่งช็อตเด็ด คือ หลังจบเกมยูโร 2016 รอบแบ่งกลุ่มนัดแรกที่เยอรมัน เอาชนะ ยูเครน 2-0 เลิฟ ถูกจับภาพได้ว่า แอบเอามือไปล้วงกางเกงของตัวเองแล้วเอามาดมต่อ ซึ่งเขาได้ออกมากล่าวขอโทษ พร้อมย้ำว่า จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกในอนาคต หลังจากนั้นเขาก็พยายามเก็บไม้เก็บมือไม่ให้เหตุการณ์ซ้ำรอยอีก แต่แฟนบอลก็ยังไม่สามารถสลัดภาพจำติดตาเหล่านั้นของเขาออกจากหัวได้เลย

ทั้งหมดคือ โมเม้นต์เด่นของ โยอาคิม เลิฟ ที่สร้างไว้กับ เยอรมัน หลังจากนี้ ภารกิจสุดท้ายของเขาคือการนำทัพลุยศึก ยูโร 2020 ที่เลื่อนมาจัดในปี 2021 เพราะการระบาดของ โควิด คงต้องดูต่อไป โยอาคิม เลิฟ จะพาทีมชาติเยอรมัน คว้าแชมป์ได้สำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายส่งท้ายกับการรับใช้ชาติในฐานะกุนซือได้หรือไม่ต่อไป

- เปี๊ยกบางใหญ่ -

logoline