logo-heading

"ลิเวอร์พูล ไม่เคยสูญสิ้นกองหน้าชั้นดี" คำพูดจากปากคนเหล่านี้ เขาอาจจะหลงลืมไปเหมือนกันว่า มีช่วงเวลาหนึ่งที่ หงส์แดง ต้องทุกข์ทนกับปัญหากองหน้าฟอร์มฝืด มองซ้าย มองขวา ไม่สามารถหาใครเป็นตัวความหวังได้เลย

ปัดฝุ่นความทรงจำกันสักนิด จำกันได้ไหมครับว่า ลิเวอร์พูล พยายามเหนี่ยวรั้ง หลุยส์ ซัวเรซ ไม่ให้ย้ายออกจากถิ่นแอนฟิลด์ เพื่อไปอยู่กับ อาร์เซน่อล .. สตีเว่น เจอร์ราร์ด เป็นคนเกลี้ยกล่อมให้ "คิงหลุยส์" อยู่กับทีมต่อไป ก่อนจะสร้างสถิติซัลโวไป 31 ตุง และ เกือบพาทัพ "หงส์แดง" คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในซีซั่น 2013-14 เสียด้วยซ้ำ

ทว่าหลังจาก ซัวเรซ ไปโชว์กัดบันลือโลกซ้ำสอง ใส่ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ กองหลังทีมชาติอิตาลี ในศึก ฟุตบอลโลก 2014 ก็เหมือนเป็นการแยกทางกันแบบไม่มีคำพูดลาใดๆ หลังจากที่ปกป้องมาหลายวีรกรรม ทั้งเรื่องคดีเหยียดผิว หรือ ใช้ฟันงับ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช จนโดนแบนเป็น 10 นัด  การจากลาของ ซัวเรซ ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องควานหากองหน้าคนใหม่ อย่างหนักหน่วง แต่สถานะตอนนั้นของ หงส์แดง จะดึงดูดสตาร์สักคนช่างลำบากเหลือเกิน จนกระทั่งมีข่าวกับ มาริโอ บาโลเตลลี่ หัวหอกมาดเกรียน และ สุดท้ายสโมสรจ่ายเงิน 16 ล้านปอนด์ ดึงตัวมาร่วมทีมในที่สุด ณ ตอนนั้น อารมณ์ของสาวก "เดอะ ค็อป" แบ่งเป็น 2 ความรู้สึก .. กลุ่มหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นเหลือเกิน เพราะตำนาน "Why Always Me ?" ที่สร้างเอาไว้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะมาช่วยให้ หงส์แดง กลับมาสานต่องานของ ซัวเรซ แบบไร้รอยต่อ จำได้ว่าวันนั้น บาโลเตลลี่ เดินทางมาถึงสนามเมลวู้ด เหล่าแฟนบอลมารอต้อนรับกันอย่างอบอุ่น หลายๆคนถอดเสื้อทำท่าเบ่งกล้าม ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ท่าดีใจของ บาโลเตลลี่ เพื่อบอกให้รู้ว่าพวกเขาดีใจที่ได้ดาวเตะทีมชาติอิตาลี มาล่าตาข่าย แต่ทว่าในอีกฟากฝั่งความรู้สึกแฟนบอล ลิเวอร์พูล กลับไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรสักนิด กับการของ บาโลเตลลี่ ด้วยเพราะ "ชื่อเสีย" บนโลกลูกหนัง ทั้งความเกรียน, นิสัยนอกสนาม หรือเรื่องความทุ่มเท ที่มักมีข่าวในด้านลบอยู่บ่อยๆ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อ ลิเวอร์พูล คว้าตัวมาแล้ว ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ต้องยอมรับ และ ให้โอกาสเจ้าตัวได้พิสูจน์ฝีเท้าอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เขาไม่ได้เป็นแค่องค์ประกอบสำคัญเหมือนสมัยอยู่กับ เรือใบสีฟ้า แต่จะต้องเปลี่ยนสถานะเพื่อมาเป็น "เดอะ แบก" ให้กับ หงส์แดง ฉะนั้นการเปรียบเทียบเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ! เพราะว่าคนเก่าเขาทำไว้ดี .. เหมือนว่าความกดดันมันกัดกร่อนในใจของ บาโลเตลลี่ มากเหลือเกิน จนไม่อยากจะเชื่อว่ากองหน้าซุปตาร์อย่าง "ซูเปอร์มาริโอ" จะสูญเสียความมั่นใจในการยิงประตูได้ขนาดนี้ !!! ย้อนกลับไปถึงสถิติ 12 นัดแรก บนเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ของ บาโลเตลลี่ กับ ลิเวอร์พูล ต้องมอบฉายาดาวยิง “เป้าสะอาด” ไปให้เลยครับ เพราะเขาไม่สามารถซัลโวให้กับ หงส์แดง ได้เลยสักลูกเดียว ช่างสวนทางกับความคาดหวังของเหล่าสาวก “เดอะ ค็อป” มากเหลือเกิน โดยถ้าหากเทียบกับ หลุยซ์ ซัวเรซ ในห้วงเวลาการลงเล่นเท่ากัน ดาวเตะจอมกัด ซัดไป 4 ประตู หากจะบอกว่าตอนนั้นองค์ประกอบของ ลิเวอร์พูล ยังไม่ดีเท่าตอนนี้ก็ไม่ใช่ เนื่องจากสมัยที่ บาโลเตลลี่ ยืนเป็นหน้าเป้า เขามีทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, อดัม ลัลลาน่า, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด แต่ทว่า “ซูเปอร์มาริโอ” ไม่อาจงัดฟอร์มเก่ง เหมือนสมัยอยู่กับ อินเตอร์ มิลาน หรือว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ออกมาได้เลย หากไม่นับประตูในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ช่วงต้นฤดูกาล 2014-15 ที่ซัด ลูโดโกเร็ตส์ กว่าที่ประตูแรกของ บาโลเตลลี่ ในชุด หงส์แดง บนเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะเกิดขึ้น ต้องรอถึงเกมที่เปิดบ้านเฉือนเอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 3-2 ซึ่งเป็นนัด 25 ของฤดูกาล ตรงกับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2015 ซึ่งวันนั้น เกรียนโอ้ ลงมาเป็นสำรอง และ เป็นฮีโร่ยิงประตูชัย เรียกว่ากินเวลาถึง 6 เดือน กว่าจะเบิกสกอร์ในลีกได้สำเร็จ แฟนๆหวังว่าประตูนั้นจะช่วยเรียกความมั่นใจของเขากลับมาได้ เพราะเริ่มจะโดนดรอปเป็นสำรอง แต่เปล่าเลยครับ ทุกอย่างตรงกันข้าม บาโลเตลลี่ ไม่สำคัญกับ ลิเวอร์พูล อีกต่อไปแล้ว .. โดยหลังจากที่ยิงประตูใส่ “ไก่เดือยทอง” เขาได้รับโอกาสลงสนามอีกแค่ 3 นัด เท่านั้น และ ไม่สามารถทำสกอร์ให้กับ “หงส์แดง” ได้เลย ทั้งๆที่เขาถูกซื้อมาเพื่อเป็น “เดอะ แบก” ของทีม ท่ากับว่า 16 นัดในเกมลีก กับ ลิเวอร์พูล บาโลเตลลี่ ทำได้เพียงแค่ 1 ประตู แค่นั้น .. ถึงแม้ว่า เกรียนโอ้ จะไม่ได้ทำพฤติกรรมอะไรที่มันดูเสียหาย หรือ เสื่อมเสียให้กับสโมสร แต่คนภายในย่อมรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น และ คนที่เปิดใจว่าทำไม บาโลเตลลี่ ถึงไม่อาจแจ้งเกิดกับ ลิเวอร์พูล ก็คือ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ซึ่งอดีตกัปตัน หงส์แดง ยอมรับว่า เกรียนโอ้ ใช้ชีวิตประจำได้ยังไม่ดีพอ "ระหว่าง ผม กับ บาโลเตลลี่ เราไม่มีแรงต้านทาน เราทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดี ผมยังคงพยายามที่จะช่วยเหลือเขา และ ผมก็มองหาโอกาสที่จะชื่นชมเขา แต่ โชเซ่ มูรินโญ่ พูดถูกอยู่ ตอนที่เขาบอกว่า บาโลเตลลี่ เป็นนักเตะที่ไม่สามารถจัดการได้" "บาโลเตลลี่ เป็นคนที่มีศักยภาพสูงมาก ในการก้าวไปเป็นนักเตะระดับโลก แต่เขาไม่เคยไปถึงจุดนั้นได้เลย เพราะแนวความคิดและผู้คนที่อยู่รอบตัวเขา เขามักต้องการเป็นที่สนใจอยู่ตลอด และ มักพูดสิ่งที่ไม่ถูกต้องลงบนสังคมออนไลน์" "สำหรับผม เขาทำเรื่องชีวิตประจำวันได้ไม่ดีพอ คุณมักต่อสู้กับสิ่งที่ผิดพลาด แต่ บาโลเตลลี่ เขาทำพลาดมามากเกินไป" ด้วยชีวิตประจำวัน ที่ บาโลเตลลี่ ดูทุ่มเทไม่มากพอ มันอาจส่งผลถึงชีวิตในสนามของเขาด้วย เพราะยิ่งโดนดรอปเป็นสำรอง ความมั่นใจยิ่งหาย และ เขาก็ดูไม่แคร์กับมันมากเท่าไหร่ จริงๆแล้ว บาโลเตลลี่ ไม่ใช่เป้าหมายแรกของ ลิเวอร์พูล ด้วยซ้ำ เพราะ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เคยเล่าว่า หงส์แดง พลาดนักเตะที่สนใจไป 2-3 คน ส่วน เกรียนโอ้ เป็นการลงทุนเพื่อความเสี่ยง เนื่องจากตอนนั้นฤดูกาลกำลังจะเริ่มขึ้น และ ยังไม่ได้ใครมาแทน หลุยส์ ซัวเรซ ซึ่งนั่นแหละครับ เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามต้องการ ความสำคัญก็หายลงไปเรื่อยๆ เพียงแค่ 1 ซีซั่น บาโลเตลลี่ ต้องเก็บข้าวของย้ายออกจากถิ่นแอนฟิลด์ ทันที เพราะหลังจาก “บีร็อด” โดนไล่ออก กุนซือคนใหม่อย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็กาชื่อของเขาออกทีม หลังหมดสัญญายืมตัวกับ เอซี มิลาน โดยไม่สนใจใยดีว่าจะมีชื่อเสียงขนาดไหน จะยอมปั้นให้เกิดอีกครั้งหรือไม่ ถึงขั้นที่ยอมปล่อยให้ นีซ แบบฟรีๆ ไม่คิดสตางค์ ต่อให้จะซื้อมาถึง 16 ล้านปอนด์ ก็ตาม ด้วยผลงานอันย่ำแย่ บาโลเตลลี่ เคยรำลึกว่าคิดผิดมหันต์ที่ย้ายมาอยู่กับ หงส์แดง "การย้ายไปอยู่ ลิเวอร์พูล คือการตัดสินใจที่แย่ที่สุดในชีวิตผม นอกเหนือจากแฟนบอลที่ยอดเยี่ยม และนักเตะบางคนที่ผมมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแล้ว ผมไม่ชอบสโมสรนี้เลย" "ผมมีโค้ชสองคนที่ลิเวอร์พูล อยู่กับ ร็อดเจอร์ส และ คล็อปป์ ผมใช้เวลากับพวกเขาไปคนละนิดคนละหน่อย ผมไม่ชอบวิธีของพวกเขาและบุคลิกของพวกเขา ผมไม่เคยรู้สึกดีเลยที่นั่น" สุดท้ายเรื่องราวของ บาโลเตลลี่ กับ ลิเวอร์พูล ก็จบลง ทิ้งไว้เพียงความหลัง ที่ไม่อยากมีใครจดจำทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นนักเตะ หรือ สโมสร ใครว่า ลิเวอร์พูล ไม่เคยสูญสิ้นกองหน้าฝีเท้าดี อยากให้นึกถึง ริคกี้ แลมเบิร์ต, ฟาบิโอ บอรินี่ หรือ มาริโอ บาโลเตลลี่ 3 ประสานกาลครั้งหนึ่ง ที่ หงส์แดง เคยมี และ แฟนบอลเคยผ่านมา

ฮาย ฮาวดี้

logoline