logo-heading

ไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นที่แอนฟิลด์ อีกครั้ง หลังจาก ลิเวอร์พูล ทำได้เพียงเสมอกับ เรอัล มาดริด 0-0 กระเด็นตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เพราะรวมผล 2 นัด พ่ายต่อ "ราชันชุดขาว" ไปด้วยสกอร์ 1-3 ส่งผลให้ซีซั่นนี้ หงส์แดง จบฤดูกาลแบบมือเปล่า ขณะที่ยักษ์ใหญ่จากสเปน มีลุ้นคั่วกับแชมป์ลีก

อย่างไรก็ตาม เกมนี้ ลิเวอร์พูล มีโอกาสมากมาย ที่จะทำให้พวกเขามีโอกาสเข้ารอบ แต่ว่าการจบสกอร์ของแนวรุกบอกเลยว่าอย่างเน่า ต้องมานั่งกอดเข่าเศร้าตกรอบ หากใครไม่ได้ติดตามเกมนี้ หรือ อยากจะย้อนไปดูจังหวะสำคัญ เชิญตามมาได้เลยว่า หงส์แดง ทิ้งโอกาสทองหลุดลอยไปมากแค่ไหน

หงส์แดง พลาดขึ้นนำเหลือเชื่อ

เริ่มเกมมาแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น ลิเวอร์พูล มีโอกาสขึ้นนำแบบสุดๆ หลังจาก ซาดิโอ มาเน่ ได้เหลี่ยมปาดมาในกรอบเขตโทษให้กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิงแบบเหน่งๆตรงกลางประตู เพราะสลัดหนีตัวประกบ เรอัล มาดริด มาได้แล้ว แต่เหลือเชื่อว่าดาวเตะทีมชาติอียิปต์ ยิงไปตรงตัว ติโบต์ กูร์กตัวส์ ซึ่งใช้ขาสกัดไว้ได้ซะอย่างนั้น เป็นจังหวะที่ หงส์แดง ควรขึ้นนำเพื่อดึงโมเมนตั้มกลับมา แต่ปล่อยโอกาสทองให้หลุดลอยไปหน้าตาเฉย

กูร์กตัวส์ บินอย่างสวย

ลิเวอร์พูล ไล่บดไล่บี้อย่างหนัก เพื่อหวังยิงประตูแรกให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งหลังจากที่พลาดโอกาสทองของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ พวกเขาก็เกือบได้ประตูขึ้นนำอีกครั้ง เมื่อพยายามต่อบอลเซ็ตเกมรุกบุกเข้าใส่ เรอัล มาดริด และ ก็มาได้จังหวะยิงไกลของ เจมส์ มิลเนอร์ เขาบรรจงปั่นโค้งๆด้วยเท้าขวา บอลย้อยกำลังจะย้อยเข้าเสียบใต้คาน แต่เป็น ติโบต์ กูร์กตัวส์ ที่ทำได้ดีกว่า โชว์กระโดดบินปัดมือเดียวออกหลังไปอย่างสวยงาม ยังป้องกันให้ "ราชันชุดขาว" ไม่ตกเป็นฝ่ายตามหลัง

มาดริด เกือบเป็นฝ่ายขึ้นนำบ้าง

หลังจากที่ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาขึ้นนำไป 2 ครั้ง 2 ครา คราวนี้ เรอัล มาดริด เป็นฝ่ายตั้งเกมได้บ้าง และ เกือบจะทำช็อกสาวก "เดอะ ค็อป" ด้วยการยิงประตูใส่ทีมเจ้าบ้าน โดยเป็นจังหวะที่ คาริม เบนเซม่า ได้บอลอยู่ในกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย โดยหัวหอก "ราชันชุดขาว" ยิงไปแฉลบ โอซาน คาบัค ทำให้ อลิสซอน เสียจังหวะ เพราะบอลเปลี่ยนทาง แต่ยังดีที่บอลไปชนเสา ไม่เข้าประตู ทำเอาแฟนบอล ลิเวอร์พูล เป่าปากด้วยความโล่งใจ

ไวนัลดุม ซัดเหินข้ามคาน

สงสัยจบเกมนี้ ลิเวอร์พูล คงต้องไปทำบุญ 9 วัด เพราะดูเหมือนว่าดวงจะไม่เข้าทางพวกเขาเลยสักนิดเดียว ไม่ว่าจะหาโอกาสได้ดีสักแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถจบสกอร์ได้เลย ซึ่งคราวนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ หงส์แดง ควรจะได้ประตูขึ้นนำ เมื่อ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไหลย้อนกลับมาให้ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ที่ยืนตั้งป้อมรอตั้งแต่เมื่อเช้า ได้กดเต็มเท้าขวาในกรอบเขตโทษ แต่กลับกลายยิงเหินข้ามคานแบบนกตายไป 8 ตัว ซึ่งลูกนี้อย่างน้อยควรจะต้องตรงกรอบด้วยซ้ำ ทำเอาเจ้าตัวกุมหน้าด้วยความเสียดาย

ครึ่งหลัง หงส์แดงบดใส่ทันที

ด้วยสกอร์ 0-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องเร่งเครื่องตั้งแต่วินาทีแรก ทันทีที่ผู้ตัดสินเป่านกหวีดเริ่มครึ่งหลัง หวังใช้จังหวะนี้ เล่นงาน มาดริด แบบไม่ทันตั้งตัว และ ก็เกือบจะได้ผล เพราะยังไม่พ้นนาที 45 หงส์แดง ได้จังหวะจาก โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ซัดมุมแคบ แต่ก็ยังไปติดเซฟ กูร์กตัวส์ ตามเดิม เป็นอีกหนึ่งเกมที่ นายทวารทีมชาติเบลเยี่ยม โชว์ฟอร์มเหนียวแน่นหนึบจริงๆ

อลิสซอน เซฟสำคัญ

ครึ่งหลังยังเป็น ลิเวอร์พูล ที่มีโอกาสบุกเข้าใส่มากกว่า แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ เรอัล มาดริด ได้ทำเกมรุกเข้าใส่ ก็เกือบจะใส่สกอร์ขึ้นนำอยู่ตลอด เพราะพวกเขารอใช้เกมโต้กลับเล่นงานอยู่แล้ว ซึ่งในนาที 55  เฟเดริโก บัลเบร์เด้ วางบอลไปให้กับ วินิซิอุส ใช้สปีดความเร็วหนีกองหลัง หงส์แดง แต่จังหวะยิงไปติดเซฟ อลิสซอน บอลกระฉอกออกมา กำลังเข้าทาง คาริม เบนเซม่า แต่ก็เป็น อลิสซอน ที่ปฏิกิริยายังไว ตามมาตะครุบจังหวะสองไว้ได้

ยิง 6 หลา ยังไปติดบล็อก

เชื่อแล้วว่าเกมนี้ เกมรุก หงส์แดง ทื่อเป็นสากกะเบือของแท้ เพราะไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหน ก็ไม่สามารถเจาะตาข่ายของ เรอัล มาดริด ได้เลย ขนาด โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ได้ส่องแบบเน้นๆ ระยะประมาณ 6 หลา ห่างจากเส้นประตู แต่ทว่ายิงไปติด มิลิเตา กองหลัง ราชันชุดขาว ที่วิ่งเข้ามาบล็อกได้ทันเวลา ช่วยให้ทีมยังคงรักษาผลสกอร์ 0-0 จากนั้น ลิเวอร์พูล ยังคงบุกอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่อาจทำประตูได้เสียที โดยช่วง 10 นาทีสุดท้าย กลายเป็น เรอัล มาดริด ที่ครองบอลได้มากกว่า ก่อนครบ 90 นาที จบลงด้วยผลเสมอ 0-0 ส่งผลให้ "ราชันชุดขาว" ได้ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปเจอกับ เชลซี ซึ่งสามารถปราบ เอฟซี ปอร์โต้ มาได้

ฮาย ฮาวดี้

logoline