logo-heading

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หมดโอกาสลุ้นคว้า 4 แชมป์ ในซีซั่นนี้ ไปเรียบร้อย หลังหยุดเส้นทาง เอฟเอ คัพ ไว้แค่รอบรองชนะเลิศ จากการแพ้ให้กับ เชลซี 0-1 ซึ่งได้ ฮาคิม ซิเย็ค ซัดประตูชัย โดยเกมนี้ต้องชื่นชมลูกทีม โธมัส ทูเคิ่ล วางแท็คติคมาได้เฉียบขาด เน้นบุกใส่เป็นระยะ แต่กองหลังไม่มีรูรั่วให้เห็น

จริงๆแมตช์นี้ เชลซี ส่งบอลเข้าไปซุกตาข่ายได้ถึง 3 ครั้ง ผิดกับ แมนฯ ซิตี้ ที่แทบจะนับครั้งได้กับการยิงตรงกรอบ แถมมีจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ "เรือใบสีฟ้า" ไม่แล่นฉิว มีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นในเกมนี้บ้าง ไปติดตามกันเลยครับ

- เชลซี เกือบขึ้นนำตั้งแต่ไก่โห่

เริ่มเกมมาได้แค่ 5 นาที เท่านั้น สาวก สิงห์บลูส์ ได้กระโดดกันตัวลอย เมื่อ เบน ชิลเวลล์ เปิดกระดกบอลขนานเส้นข้างทางฝั่งซ้ายมาให้กับ ติโม แวร์เนอร์ กระชากบอลขึ้นหน้า ก่อนจะปาดเข้าไปตรงกลางกรอบเขตโทษให้กับ ฮาคิม ซีเย็ค วิ่งมาตามนัด ซัดผ่านมือ แซ็ค สเตฟเฟ่น ผู้รักษาประตูตัวสำรองของ "เรือใบสีฟ้า" ที่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริง เข้าไปซุกตาข่ายได้แล้ว แต่ "ตดยังไม่ทันหายเหม็น" แฟนบอล เชลซี ก็ต้องกุมหน้าด้วยความเสียดาย เพราะว่าไลน์แมนตีธงว่าจังหวะที่ ชิลเวลล์ กระดกมาให้ แวร์เนอร์ อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าไปก่อนแล้ว ทำให้ลูกนี้ไม่ได้ประตู อีกฟากฝั่งถือว่าสาวก เรือใบสีฟ้า เป่าปากด้วยความโล่งใจ ที่ไม่ตามหลังตั้งแต่เริ่มเกม

- สิงห์บลูส์ กับการพลาดอีกครั้ง

วันนี้หมากของ โธมัส ทูเคิ่ล ทำได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ เพราะไม่ได้สั่งให้ลูกทีมเน้นตั้งรับ แต่กลับบุกใส่ แมนฯ ซิตี้ เลยด้วยซ้ำ หลังจากพลาดได้ประตูขึ้นนำจากลูกล้ำหน้า พวกเขาก็ยังครองบอลได้ดีกว่า โดยก่อนเข้าสู่นาทีที่ 20 ของเกม "สิงห์บลูส์" มีโอกาสใส่สกอร์อีกครั้ง เมื่อ รีซ เจมส์ เติมเกมแบบสุดริมเส้นฝั่งขวา ก่อนจะครอสย้อยมาเสาไกลให้กับ เบน ชิลเวลล์ วิ่งง้างเท้าตั้งป้อมตั้งแต่บ้าน แต่จังหวะวาดขาหวังใส่ให้เต็มตีน กลับโดนแป้กๆ บอลออกหลังไปแบบน่าเสียดาย ถึงขนาดที่กล้องจับภาพไปหา โธมัส ทูเคิ่ล ที่ทำหน้าตาผิดหวัง เพราะลูกทีมจบสกอร์ไม่ได้ดั่งใจ

- ท้ายครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ ได้บุกกดดัน

หลังจาก เชลซี ขึ้นนำไม่ได้ เกมก็กลับมาตึงเครียดเหลือเกิน เพราะไม่มีฝ่ายไหนอยากจะเพลี่ยงพล้ำตกเป็นฝ่ายตามหลัง แต่ถือว่าทั้ง เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็พยายามจะหาโอกาสทำประตูกันอยู่ตลอด เนื่องด้วยถ้าขึ้นนำได้ล่ะก็ จะกุมความได้เปรียบไว้มากกว่า ช่วงท้ายครึ่งแรก เป็นทาง เรือใบสีฟ้า ที่ครองบอลบุกเข้าใส่แบบหลากหลาย ทั้งขึ้นเกมจากริมเส้น และ ใช้ลูกตั้งเตะเล่นงานแนวรับ เชลซี ซึ่งก่อนสิ้นเสียงนกหวีด 45 นาทีแรก มีช็อตที่ แฟร์นานดินโญ่ ได้ขึ้นโหม่ง แต่ว่าลูกนี้ไม่ได้หวาดเสียวแต่อย่างใด

- จุดเปลี่ยนสำคัญของ แมนฯ ซิตี้

ถึงแม้ว่าวันนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะหมุนเวียนผู้เล่นหลายตำแหน่ง มีสำรองลงมาปะปน แต่กระนั้นจุดเปลี่ยนสำคัญ เกิดขึ้นในช่วงต้นครึ่งหลัง นาที 48 เมื่อ เควิน เดอ บรอยน์ กัปตันทีมเพลย์เมกเกอร์ "เรือใบสีฟ้า" ได้รับบาดเจ็บ  ทีมแพทย์พยายามจะปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว เพื่อรอดูอาการว่าจะสามารถกลับมาลงสนามได้หรือไม่ แต่ปรากฏว่า เควิน เดอ บรอยน์ เล่นต่อไม่ไหว ต้องถูกเปลี่ยนตัวออกทันที โดย เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ตัดสินใจส่ง ฟิล โฟเด้น มิดฟิลด์ดาวรุ่งลงสนามมาแทน

- เกมบุก เชลซี สัมฤทธิ์ผล

เพิ่งพูดไปแหมบๆว่าการที่ เดอ บรอยน์ เล่นต่อไม่ไหว ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะเกมรุกจะขาดพิษสงไปเยอะ และ หลังจากเขาไม่อยู่ในสนามไม่ถึง 10 นาที เชลซี ก็ทำเดินหน้าบุกเข้าใส่ จนกระทั่งสัมฤทธิ์ผลสักที เป็นจังหวะที่ เมสัน เมาท์ แทงทะลุช่องไปให้กับ ติโม แวร์เนอร์ ไม่ล้ำหน้า ก่อนวิ่งควบหลุดเข้ามาในกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย ซึ่ง แซ็ค สเตฟเฟ่น ตัดสินใจไม่ดี เหมือนจะออกมาตัดบอล แต่ออกไม่สุด เพราะ 2 จิต 2 ใจ จนเสียจังหวะ ทันใดนั้น แวน์เนอร์ ก็ปาดมาตรงกลางให้กับ ฮาคิม ซิเย็ค ที่วิ่งตีคู่มารอเข้าฮอร์ส ล้มตัวเอี้ยวยิงด้วยซ้ายเข้าไปโล่งๆ ง่ายๆ เป็นประตูให้ เชลซี ขึ้นนำ 1-0 กุมความได้เปรียบสำเร็จ

- เชลซี เกือบยิงฝังลูก 2

พอทัพ สิงห์บลูส์ ได้ประตูขึ้นนำ ก็เหมือนจะได้ใจ ต่อบอลแบบมั่นใจมากขึ้น และ ในช่วงที่พวกเขาลงไปแพ็คเกมรับให้แน่นหนา รอใช้เกมสวนกลับเล่นงาน ก็เกือบจะได้ประตูขึ้นนำเป็นเม็ดที่ 2 แต่กลับยิงพลาดแบบน่าเสียดายสุดๆ ช็อตนั้น เป็น เมสัน เมาท์ คนเดิม ที่โชว์ความแม่นยำวางบอลจากแดนตัวเอง เปิดโด่งขึ้นหน้าข้ามกองหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชนิดที่ รูเบน ดิอาส กะจังหวะบอลตกผิดพลาดไปแล้ว ทำให้บอลไปถึง ซิเย็ค คนเดิม ได้ดวลเดี่ยว 1 ต่อ 1 กับ แซ็ค สเตฟเฟ่น ตรงกลางประตู จะเลือกซัดมุมไหนก็ได้ แต่เวรกรรม ซิเย็ค ยิงแป้กเท้า บอลเบาไม่มีน้ำหนัก ไปติดเซฟ สเตฟเฟ่น ที่ออกมากางตัวใหญ่ ช่วยให้ แมนฯ ซิตี้ ไม่ตกเป็นรองไปมากกว่านี้

- โอกาสตีเสมอของ แมนฯ ซิตี้

ต้องบอกเลยว่าเกมรุกวันนี้ของลูกทีม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ประสิทธิภาพตกลงไปเยอะ เกปา อาร์ริซาบาลก้า แทบไม่ต้องออกแรงอะไรมากเลย ยิงตรงกรอบนับครั้งได้ เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้เห็นมากนักกับฟอร์ม เรือใบสีฟ้า เรียกว่า ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, กาเบรียล เชซุส และ เฟร์รัน ตอร์เรส 3 ประสานตัวรุก ไม่มีพิษสงเลย ยิ่งขาด เดอ บรอยน์ การสร้างสรรค์ยื่งยากกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ แมนฯ ซิตี้ ไม่เสียประตู 2 พวกเขาก็ยังคงมีความหวัง เพราะโป้งเดียวอาจหายเข้าตาข่ายไปได้เลย ซึ่งก็มีจังหวะที่ เรือใบสีฟ้า น่าจะได้ประตูตีเสมอจากลูกครอสเข้ามาในกรอบเขตโทษ โรดรี้ โหม่งตั้งชงจากเสาสอง บรรจงไปให้กับ รูเบน ดิอาส ได้ขึ้นโขกเหน่งๆ แต่สะบัดหัวผิดเหลี่ยม บอลลอยออกไปไม่ได้ลุ้นอะไรเลย

- ทดเจ็บ เชลซี เกือบยิงฝัง

ช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พยายามบุกกดดันอย่างหนัก เพื่อหวังทำประตูตีเสมอให้ได้ แต่ก็ไม่ได้ใกล้เคียง ส่วนใหญ่จะยิงนกตกปลาไปเสียหมด เกมรุกเจาะแนวรับของ เชลซี ไม่ได้ ต่อให้ยิงตรงกรอบ ก็เข้ามือ เกปา แบบสบายๆ กระทั่งเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เชลซี ได้สวนกลับบ้าง โดยเป็น คริสเตียน พูลิซิช ที่ไปเก็บตกจากจังหวะเพื่อนแย่งโหม่งกับกองหลัง แมนฯ ซิตี้ ได้เลี้ยงกระชากจากทางซ้าย ตัดเข้าในหาช่องว่าง ก่อนจะกดด้วยขวาย้อนทางผู้รักษาประตู เข้าไปซุกตาข่าย แต่ทว่าไลน์แมนตีธงว่า พูลิซิช อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า จากจังหวะแรกที่เพื่อนโหม่งแฉลบมาให้ เวลาที่เหลือความพยายามของ แมนฯ ซิตี้ ไม่เป็นผล เปิดยังก็ติดแนวรับ เชลซี ไปหมด ก่อนจะจบลงด้วยสกอร์ 1-0 ส่งผลให้ สิงห์บลูส์ ผ่านเข้าไปรอชิงชนะเลิศรอพบคู่ระหว่าง เลสเตอร์ ซิตี้ กับ เซาธ์แฮมป์ตัน

ฮาย ฮาวดี้-

logoline