logo-heading

ช่วงสัปดาห์นี้ มีรายงานพูดถึงเรื่องของ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก อีกครั้ง หลังจากที่เคยมีกระแสว่าทีมใหญ่ร่วมกันก่อตั้งรายการนี้มาได้สักระยะ แต่รายการนี้ก็ยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในความเป็นจริง แต่เป็นไอเดียที่เริ่มใกล้เข้ามามากกว่าที่คิด และโปรเจ็กต์นี้ถือเป็นการท้าทายผู้มีอำนาจในวงการลูกหนัง

ล่าสุด สโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปจำนวน 12 ทีม ได้แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, เชลซี, อาร์เซน่อล, เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า, แอตเลติโก มาดริด, ยูเวนตุส, อินเตอร์ มิลาน และ เอซี มิลาน ได้ร่วมลงนามในเอกสารเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอล "ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก" ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์ใหม่ที่จะแยกตัวมาจากทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลถ้วยของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า โดยเฉพาะ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ตามที่มีข่าวลือมาตั้งแต่ปีที่แล้ว  โดยระบบการแข่งขัน จะแบ่ง 20 ทีมออกเป็น 2 สาย สายละ 10 ทีม แต่ละทีมจะได้เล่นในระบบ เหย้า - เยือน มีตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งทีมที่ได้อันดับ 1-3 ของรอบแบ่งกลุ่ม จะเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ในขณะที่ทีมอันดับ 4-5 ในแต่ละสายจะต้องมาเตะเพลย์ออฟ เพื่อหาอีก 2 ทีม ที่จะได้ตีตั๋วเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย รวมไปถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายจะเตะกันในระบบ เหย้า-เยือน หาทีมชนะเข้าไปเล่นรอบชิงชนะเลิศที่จะเล่นกันนัดเดียวจบ    ในส่วนของรายได้ มีรายงานว่าผู้ร่วมก่อตั้งมีส่วนกับเงินแรกเข้าเพื่อวางรากฐานการแข่งขัน เป็นกองทุน แต่ละสโมสรผู้ก่อตั้งจะได้รับเงินส่วนแบ่งตามความเหมาะสมสามารถนำไปใช้ในการขยายสนามการแข่งขัน, ปรับปรุงสนามฝึกซ้อม เป็นต้น ขณะที่ในส่วนเงินรางวัลของการแข่งขันมีมูลค่ารวมมหาศาล และยังไม่รวมเงินรายได้จากการถ่ายทอดสดและสปอนเซอร์ โดยเบ็ดเสร็จแล้วทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันการันตีว่าได้รายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านยูโร อย่างแน่นอน นอกจาก 12 ทีมผู้ก่อตั้งจะเข้าร่วมแล้ว มีรายงานที่ยังไม่ได้รับการยืนยันอีกว่าบริษัทผลิตสัญญาณถ่ายทอดกีฬาแบบสตรีมมิ่ง DAZN (ดะโซน) ก็เข้าร่วมกับ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามล่าสุด ทาง ยูฟ่า ออกจดหมายประกาศแบนเรียบร้อยว่า หากทีมใน พรีเมียร์ลีก, ลาลีกา หรือ เซเรีย อา ทำการลงแข่งขันรายการนี้ ก็จะถูกตัดสิทธิ์จากรายการระดับเมเจอร์ที่ ยูฟ่า จัดการแข่งขัน รวมถึง นักเตะของทีมดังกล่าว จะถูกแบนออกจากการลงแข่งขันระดับชาติในรายการที่ ยูฟ่า และ ฟีฟ่า จัดอีกด้วย โดยทาง ยูฟ่า ได้ร่วมมือกับสมาคมฟุตบอลแต่ละประเทศ ยับยังการกระทำดังกล่าว เพราะถือเป็นการหยามเกียรติสหพันธ์  ก่อนหน้านี้ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับรายการนี้ และไม่ให้การสนับสนุนรายการดังกล่าว จนรายการ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก ได้ชื่อว่า "รายการกบฎของทีมใหญ่" ฟีฟ่า ออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วย และหากใครเข้าร่วม จะส่งผลกระทบต่อรายการต่าง ๆ ที่ ฟีฟ่า จัดอย่างแน่นอน เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา ฟีฟ่า ร่วมกับ สมาพันธ์ฟุตบอลระดับทวีปอีก 6 แห่งรวมทั้งยูฟ่า ในเรื่องการไม่รับรองความชอบธรรมของ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก พร้อมประกาศแบนสโมสร และนักฟุตบอลที่ลงแข่งขันในรายการนี้จากการเข้าร่วมทัวร์นาเมนต์ต่าง ๆ ที่ทาง ฟีฟ่า และ สมาพันธ์ต่าง ๆ เป็นผู้จัดตั้งขึ้น พูดง่าย ๆ ก็คือ ใครลงสนามในรายการนี้ จะอดไปเล่นฟุตบอลโลก, ฟุตบอลชิงแชมป์ระดับทวีปต่าง ๆ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นต้น เมื่อทีมใหญ่ก่อกบฎตั้ง "ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก" แม้ว่าการประกาศของ ฟีฟ่า ในครั้งนั้นจะสร้างความไม่พอใจกับ ยูฟ่า เนื่องจากถือเป็นการแทรกแซง แต่ทาง ยูฟ่า ก็ไม่เห็นด้วยกับการที่บรรดาทีมใหญ่แยกออกไปเตะลีกกันเอง โดยไม่ขึ้นกับทางสหพันธ์ นอกจากเรื่องเงินที่มากมหาศาลแล้ว ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก ยังเป็นแผนการก่อกบฏต่อ ยูฟ่า ที่ชัดเจนที่สุด แทนที่จะต้องทำทุกอย่างผ่าน ยูฟ่า สโมสรดึงอำนาจจากสมาพันธ์ฟุตบอล เพื่อมาดำเนินการแข่งขันเอง แบ่งรายได้กันเอง ตัดคนกลางออก และมีอำนาจบริหารจัดการได้เต็มที่ โดยไม่เห็นหัวการมีอยู่ของ ยูฟ่า ซึ่งทาง ยูฟ่า ก็ตอบโต้ด้วยการจะปรับเปลี่ยนการแข่งขัน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในรูปแบบใหม่ ตั้งแต่ปี 2024 โดยเปลี่ยนจำนวนทีมที่ลงแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มจาก 32 ทีม เป็น 36 ทีม ก่อนทำการแบ่งลีก ซึ่งมีความซับซ้อน แต่ได้รับอิทธิพลมาจาก ซูเปอร์ลีก ด้วยแน่นอน อย่างไรก็ตามจากการประกาศของ ยูฟ่า รวมถึงเอกสารเตือนของ พรีเมียร์ลีก ล่าสุด ไม่ได้ทำให้ทีมใหญ่รู้สึกเกรงกลัว พร้อมกับออกประกาศเล่นเกมการเมืองลงนามจัดตั้งร่วมโปรเจ็กต์กัน 12 ทีมเรียบร้อย ทว่าทุกอย่างยังไม่จบ เพราะเท่ากับว่าทั้ง 12 ทีมร่วมก่อตั้งจะถูกแบนในเวทียุโรป รวมไปถึง นักเตะของทีมจะได้รับผลกระทบในการแข่งขันระดับชาติที่ ยูฟ่า และ ฟีฟ่า เป็นผู้จัด  ทางด้านของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดีตผู้จัดการระดับตำนานของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้ไว้ว่า “พูดถึง ซูเปอร์ ลีก คือการออกจากการแข่งขันฟุตบอลยุโรปที่มีมายาวนาน 70 ปี ในยุคของผมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เล่นนัดชิงแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 4 ครั้ง และเป็นคืนที่วิเศษสุด แฟนบอลทั่วโลกชื่นชอบการแข่งขันแบบที่มันเป็นอยู่ ผมไม่แน่ใจว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เกี่ยวข้องด้วยไหม เพราะผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจเรื่องนี้” ส่วนทางด้าน แกรี่ เนวิลล์ เจ้าพ่อคอมเมนเตเตอร์ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นสุดเดือดว่า “ผมไม่คัดค้านการปรับเปลี่ยนการแข่งขันฟุตบอลให้ทันสมัยหรอกนะ เรามี พรีเมียร์ลีก เรามี แชมเปี้ยนส์ลีก ผมไม่คิดว่าจะมีใครปฏิเสธได้ แต่ผมคิดว่าการผลักดันข้อเสนอนี้ท่ามกลางวิกฤตโควิด ท่ามกลางวิกฤติทางด้านการเงิน มันช่างเป็นอะไรที่งี่เง่า” “ยูไนเต็ด, ซิตี้ และทีมบิ๊ก 6 ที่เซ็นข้อตกลงไป พวกเขากำลังขัดแย้งกับทีมที่เหลือใน พรีเมียร์ลีก ควรละอายใจบ้าง ผมโฟกัสกับเกมไม่ได้เลย เอฟเอ ควรตัดแต้มทั้ง 6 ทีมที่เซ็นสัญญาไป ตัดแต้มพวกเขาเอาให้น้ำตาเช็ดหัวเข่าเลย มาผลักดันเรื่องไร้สาระในระหว่างฤดูกาลเป็นสิ่งที่น่าขำสิ้นดี” งานนี้ก็ไม่รู้ว่าจะจบลงแบบไหน รายการ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ ลีก จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ก็คงต้องติดตามกันต่อ แต่หากไอเดียนี้เกิดขึ้นจริง คาดว่าเงินรางวัลและรายได้ที่แต่ละทีมจะได้นั้นมีมูลค่ามหาศาลทีเดียว ในยุคที่อำนาจเงินเป็นใหญ่ในวงการฟุตบอล รวมถึงคำว่าการได้ผลประโยชน์และการขาดผลโยชน์ที่จะตามมาในอนาคต ดังนั้นอะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ ใครอยากชมรายละเอียดต่าง ๆ เพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ทางการ เดอะ ซูเปอร์ ลีก ได้เลย >>> คลิกที่นี่

- เปี๊ยกบางใหญ่ -

logoline