logo-heading

กิเลนผยอง ในฤดูกาล 2020 จบด้วยอันดับ 7 ของฤดูกาล และบอลถ้วยทะลุเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายในศึกช้างเอฟเอ คัพ ภายใต้การทำทีมของกุนซือที่ชื่อ "มาริโอ ยูรอฟสกี้"

การเข้ามาคุมทีมเอสซีจี เมืองทองฯ ของ "ซูเปอร์มาริโอ" ในช่วงเลก 2 ที่ผ่านมา ถือว่าทำผลงานได้อย่างน่าพอใจ และสามารถปรับเปลี่ยนแนวทางการเล่นของทีมจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้อย่างชัดเจน เหมือนกับว่าเมืองทองในยุคกาม่า กับ มาริโอ อย่างกับคนละทีมกัน ทั้งๆ ที่นักเตะก็ชุดเดียวกันทั้งหมด การมาของ มาริโอ ถือเป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญอย่างนึงในศึกไทยลีกฤดูกาลนี้ ไม่เฉพาะผลงานกับทีมกิเลนผยองเท่านั้น เรื่องนอกสนามก็ถือว่าสร้างสีสันให้กับไทยลีกได้ดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นเรื่องการแต่งตัวที่แหวกแนวกว่าโค้ชทุกคนที่เคยมีว่า เรื่องการแสดงท่าดีใจ รวมไปถึงบทสัมภาษณ์ต่างๆ ทุกอย่างมันคือมาริโอ ยูรอฟสกี้ จริงๆ แต่ช่วงฮันนิมูนของมาริโอ กับเมืองทองฯ ก็คงจะจบไปแล้วพร้อมๆ กับซีซั่น 2020 ที่จบลงไป จากนี้ในฤดูกาล 2021 จะเป็นการพิสูจน์ฝีมือของกุนซือชาวมาซิโดเนีย ว่าจะไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ แน่นอนว่าผลงานในฤดูกาล 2020 ที่ผ่านมา ไม่มีใครสงสัยในฝีมือ หรือรูปแบบการทำทีมของโค้ชโอ้ ถ้าไปถามแฟนบอลกิเลนผยอง 100 คน ก็เชื่อทั้งร้อยคนแฮปปี้ และมั่นใจในฝีมือของมาริโอ ว่าจะพาทีมกลับมาเป็นบิ๊กเนมลุ้นแชมป์อีกครั้ง เช่นเดียวกับบอร์ดบริหารของเอสซีจี เมืองทองฯ ที่ฤดูกาลใหม่นี้ก็คงจะไม่มีชื่อเอสซีจี นำหน้าแล้ว ก็ยังคงไว้วางใจและพร้อมมอบหน้าที่กุนซือใหญ่ให้ มาริโอ ได้คุมทีมแบบเต็มตัว จะว่าไปก็เหมือนบอดร์ดเมืองทองถูกหวยเบอร์ใหญ่เหมือนกันกับการเสี่ยงให้ มาริโอ ขึ้นมาคุมทัพในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าตอนแรกก็กะให้ลองดูว่าจะไหวหรือเปล่า แต่ไปๆ มาๆ กลับทำได้ดีเกินคาด มันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปหาโค้ชใหม่ที่ไหนมาแทน จากบทสัมภาษณ์ของ "เสี่ยเป้" รณฤทธิ์ ซื่อวาจา กับการเตรียมทีมในซีซั่นหน้า บอกไว้ว่า "ฤดูกาลใหม่นี้ ทีมได้ให้อำนาจเต็มที่กับมาริโอ ในการทำทีม โดยใช้คำว่า "มาริโอเวย์" ซึ่งเราจะได้เห็นการทำทีมเมืองทองแบบเต็มๆ ของกุนซือหนุ่มรายนี้ในถิ่นกิเลนผยอง" ฟังดูมันก็น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย เพราะถ้าผมเป็นแฟนเมืองทองฯ ก็อยากจะรอดูการทำทีมตั้งแต่ต้นซีซั่นของ มาริโอ ยูรอฟสกี้ ว่าจะเปรี้ยงปังขนาดไหน แต่อย่างไรก็ตาม มาริโอ เองก็ยังถือว่าเป็นกุนซือหนุ่มไฟแรงที่ยังต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกพอสมควร เพราะอย่าลืมว่าเจ้าตัวยังไม่มีโปรไลเซนส์ การทำทีมตอนนี้ก็เหมือนกับอยู่ในระหว่างทดลองงานไปด้วย ซึ่งถ้าเผลอพลาดเมื่อไหร่ก็มีโอกาสไปได้ทุกเมื่อ ตัวอย่างเหมือนกับ แฟรงค์ แลมพาร์ด ของเชลซี ที่ขนาดเป็นถึงตำนาน และเป็นโค้ชระดับโปรไลเซนส์แล้ว แต่เมื่อคุณพลาด และสุดท้ายมันแสดงให้เห็นว่ามือคุณยังไม่ถึง มันก็ไปได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นฤดูกาล 2021 จึงเป็นบทพิสูจน์สำคัญของ มาริโอ กับ เอสซีจี เมืองทองฯ ว่าที่ผ่านมาเก่งจริงหรือแค่ฟลุ๊คเท่านั้น ผลงานจะเป็นคำตอบ ในส่วนของการเตรียมทีมเมืองทองฯ เวลานี้ พวกเขาอยู่ในช่วงการหานักเตะเข้ามาเสริมทัพ โดยตอนนี้ก็เคลียร์เรื่องสัญญากับนักเตะต่างชาติกันไปหลายคนแล้ว เหลือ แดร์เลย์ ที่ยังไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะตัเสินใจแบบไหน ซึ่งถ้าแดร์เลย์ ต่อสัญญากับทีมออกไปก็จะทำให้โควต้าต่างชาติของเมืองทองฯ ก็จะเป็นชุดเดียวกับฤดูกาลที่แล้ว ถ้าจะมีใครเพิ่มเข้ามาก็คงจะเป็น เจสซี่ เคอร์เรน ที่กำลังขอโควต้าอาเซียนอยู่ ส่วนนักเตะไทย ถ้าจะต้องเสริมเพิ่มก็คงจะเป็นกองหลังในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาร์ฟ รวมทั้งผู้รักษาประตู ที่อาจจะต้องหาใครเข้ามาเป็นคู่แข่งแย่งมือหนึ่งกับ สมพร ยศ อีกสักคน ซึ่งตอนนี้ก็มีข่าวอยู่กับ พีระพงษ์ เรือนนินทร์ นายทวารหน้าหล่อของสุโขทัย เอฟซี นอกนั้นก็ถือว่าขุมกำลังค่อนข้างจะลงตัว เพราะนักเตะดาวรุ่งที่ก้าวขึ้นมาหลายๆ คนก็ทำผลงานได้ดี และก็เป็นตัวหลักของทีมไปแล้วอย่าง วีระเทพ ป้อมพันธุ์, วัฒนากรณ์ สวัสดิ์ละคร, ชาติชาย แสงดาว, ปรเมศย์ อาจวิไล แต่ยังไงซะเด็กพวกนี้ก็ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาตัวเองเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะที่พร้อมสมบูรณ์เต็มที่ ซึ่งอีกสักปีสองปีนักเตะเหล่านี้ก็จะขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แบบเต็มตัว และถึงวันนั้นเมืองทองก็จะกลับมาแข็งแกร่งได้เหมือนเดิม ส่วนเรื่องใหญ่ที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องสปอนเซอร์หลักของทีมที่จะมาแทนที่ เอสซีจี ที่หมดสัญญากันไป ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งจริงๆ แล้วทุกอย่างก็ลงตัวหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการเท่านั้น และเมื่อมีความชัดเจนเมื่อไหร่ ก็คงจะได้เห็นแนวทางการทำทีมในฤดูกาลหน้าชัดเจนมากยิ่งขึ้น ส่วน "มาริโอเวย์" สุดท้ายจะเวิร์ค ไม่เวิร์ค อย่างที่บอกว่า "ผลงานในซีซั่น 2021 จะเป็นตัวตัดสิน"
logoline