logo-heading

เจ้าพ่อรายการ คาราบาว คัพ ตัวจริง เสียงจริง สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังจากโชว์ความแข็งแกร่ง บุกไล่ต้อน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ แบบไร้ทางสู้ จะบอกว่าเป็นบอลวันเวย์ก็ไม่ผิดหนัก เพราะบุกแหลกตั้งแต่ผู้ตัดสินเป่านกหวีดเริ่มเกม

ทว่ากว่าจะส่งบอลไปซุกตาข่าย ต้องรอถึงช่วงท้ายเกม โดยมาได้ลูกโขกของ อายเมริค ลาปอร์ต เป็นประตูชัยให้กับ เรือใบสีฟ้า คว้าแชมป์รายการ บาว คัพ ไปครองอย่างคู่ควร เกมนี้จริงๆคสกอร์น่าจะเยอะกว่า 1 ลูกด้วยซ้ำ แต่ก็เฉียดไปเฉียดมา และ ไม่ผ่านมือ อูโก้ ยอริส ซึ่งหากใครไม่ได้ติดตาม 90 นาที หรือ พลาดโมเมนต์อะไรไป จะไปดูช็อตสำคัญที่เกิดขึ้นในเกมนี้ครับพี่น้อง

- เรือใบ บุกเป็นชุด สเปอร์ส ทรงทรุด ไม่ได้โงหัว 

ต้องบอกว่า 45 นาทีแรก ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จัดการบุกแหลกใส่ ไก่เดือยทอง แบบไม่ได้โงหัว อารมณ์เหมือนรับน้อง ไรอัน เมสัน กุนซือพลังหนุ่ม ที่เพิ่งเข้ามาคุมทีมได้เพียงแค่ 2 นัด ว่าของจริงเป็นอย่างไร ต่อให้ สเปอร์ส จะได้ตัว แฮร์รี่ เคน กลับมาล่าตาข่ายแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า แมนฯ ซิตี้ ไม่ได้เกรงกลัวอะไรสักนิด เริ่มต้นมาเกมนี้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กับ ฟิล โฟเด้น เป็น 2 คน ที่สามารถปั่นป่วนแนวรับ "ไก่เดือยทอง" ได้ดีเหลือเกิน โดยมีช็อตที่ ราฮีม เลี้ยงไปสุดเส้นหลัง ในกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนจะล็อคขวา ล็อคซ้าย แล้วเปิดไปให้กับ โฟเด้น ที่วิ่งโฉบมาเสาแรก พยายามยิงยัดเร็ว บอลหลุดออกหลังไปแบบได้ลุ้น ที่บอกว่าไม่ได้โงหัว ไม่ใช่เรื่องที่พูดเกินจริง เพราะ แมนฯ ซิตี้ มาทุกทิศทุกทาง เดี๋ยวซ้าย เดี๋ยวขวา ขนาดลูกเตะมุมยังปั่นเกือบเข้าประตู และ ไม่ใช่แค่มี โฟเด้น กับ สเตอร์ลิ่ง เท่านั้น ยังมี เควิน เดอ บรอยน์ กับ ริยาด มาห์เรซ ซึ่งเป็นตัวสร้างสรรค์ชั้นยอด เพียงแต่ว่าจังหวะจบสกอร์ ยังไม่ดีเท่าไหร่ กระทั่งมาถึงนาที 14 ของเกม เรือใบสีฟ้า น่าจะได้ประตูขึ้นนำแบบสุดๆ เมื่อ เควิน เดอ บรอยน์ จ่ายไปสุดเส้นหลังฝ่ายให้กับ ฟิล โฟเด้น ก่อนจะตวัดจังหวะเดียวเข้ามาในกรอบเขตโทษ ให้กับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ยืนโล่งๆตรงก่อนถึงเส้น 6 หลา เขาบรรจงแต่งหนึ่งจังหวะ และ ซัดด้วยซ้าย ทำเอา อูโก้ ยอริส ยืนขาตายไปแล้ว แต่ทว่า เอริค ดายเออร์ พลีชีพใช้ตัวบล็อกลูกยิง ช่วยให้ "ไก่เดือยทอง" ไม่เสียประตู เพราะลูกนี้ตรงกรอบ ยังไงก็เข้า

- บอลชนเสา และ สเตอร์ลิ่ง ทิ้งโอกาสไปอีกครั้ง

หลังจากผ่านไป 20 นาที สเปอร์ส มีโอกาสโผล่ขึ้นจากน้ำมาหายใจบ้าง มีได้โอกาสซัดไกลของ โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ แต่บอลเบาไม่ได้ลุ้นอะไร กระทั่งมาถึงช็อตที่ แมนฯ ซิตี้ ควรได้ประตูขึ้นนำแบบสุดๆ เมื่อ สเปอร์ส แกะเพรสซิ่งไม่ออก เอริค ดายเออร์ จ่ายบอลเสีย โดน เควิน เดอ บรอยน์ ตัดไว้ได้  ก่อนจะลากเข้ามาในกรอบเขตโทษ แม้จะโดนดักทาง แต่บอลไปเข้าตีน โฟเด้น ได้ยิงระยะแบบ 5-6 หลา กระนั้น โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ พุ่งมาบล็อค และ บอลกระดอนไปชนเสา เรือใบสีฟ้า ยังคงไม่ได้ประตูขึ้นนำ เท่านั้นไม่พอยังมีช็อต แฟร์นานดินโญ่ แทงทะลุช่องไปให้กับ สเตอร์ลิ่ง วิ่งสปีดมารับบอลตรงจุดนัดพบในกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย ด้วยความที่มุมมันบีบ และ อูโก้ ยอริส ออกมากดดัน ทำให้ สเตอร์ลิ่ง ต้องคิดเร็ว ทำเร็ว โดยพยายามยกบอลข้ามตัว ซึ่งลูกนี้มันผ่านหน้าปากประตูออกไปแค่ราวหนึ่งคืบเท่านั้น ในเมื่อ สเตอร์ลิ่ง กับ โฟเด้น ที่มีโอกาสเยอะกว่าใครเพื่อน ไม่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นสกอร์ได้ สงสัย ริยาด มาห์เรซ เลยคันเท้า จึงขอลอง ชงเอง กินเอง เมื่อเขาได้บอลทางด้านขวา โดยมีผู้เล่น สเปอร์ส เข้ามาประกบถึง 2 คน แต่กระนั้น มาห์เรซ ไม่มีความเกรงกลัว ลากจี้เข้าใส่ ก่อนจะแตะออกด้านข้างให้เข้าเท้าซ้าย ทว่าบอลมันไม่ติดสูตรปั่นโค้งๆ ทำให้พุ่งตรงออกหลัง เฉี่ยวเสาไปแค่นิดเดียวเท่านั้น เรียกว่าโอกาสอีก 2 ครั้งที่กล่าวมา ยังแค่เฉียด แต่ไม่ได้ประตู ท้ายครึ่งแรก แมนฯ ซิตี้ บุกอย่างหนัก เพื่อหวังยิงประตูแรกให้ได้ เพราะตลอด 45 นาที พวกเขาคุมเกมได้อยู่หมัด สร้างสรรค์โอกาสได้ทุกอย่าง ขาดเพียงแค่สกอร์ขึ้นนำ โดยมีช็อตที่ มาห์เรซ แตะบอลเข้าตรงกลาง ก่อนจะลองซัดเต็มตีนเตี่ย บอลติดไซร้โป้ง เหินข้ามคานไปนิดเดียวเท่านั้น จากนั้นช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ยอริส มาช่วยชีวิตให้ สเปอร์ส ยังคงมีโมเมนตั้มอยู่ในเกม เพราะ เจา กานเซโล่ ที่วันนี้รับบทแบ็กซ้าย ได้ซัดจากบริเวณนอกกรอบเขตโทษ บอลกำลังจะพุ่งเสียบเสา แต่นายด่ายทีมชาติฝรั่งเศส พุ่งปัดเอาไว้

จบ 45 นาทีแรก เรียกว่า สเปอร์ส ยังดวงดีไม่เสียประตู

- เริ่มครึ่งหลัง สเปอร์ส เกือบทำเซอร์ไพรส์

5 นาทีแรก และ 5 นาที สุดท้าย เป็นช่วงที่ควรมีสมาธิ และ ห้ามหลุดโฟกัสมากที่สุด เพราะคุณอาจโดนเล่นงานได้ ซึ่ง สเปอร์ส ใช้จุดตรงนั้นเล่นงาน เรือใบสีฟ้า เรียกว่ากะโป้งเดียวปิดบัญชี โดยเริ่มมาแค่ 1 นาทีของครึ่งหลัง ไก่เดือยทอง มีจังหวะได้ลองส่องไกลของ โจวานนี่ โล เซลโซ่ ปั่นด้วยซ้ายจากนอกกรอบเขตโทษ บอลตกลงพื้นตามตำรา บอลจะพุ่งเสียบเสาอยู่แล้ว แต่ แซ็ค สเตฟเฟ่น นายทวาร แมนฯ ซิตี้ พุ่งปัดเอาไว้แบบไม่มีเหม่อ เพราะถ้าโดนไปนี่มีตะลึงกันทั้งสนาม

- แต่หลังจากนั้น เรือใบสีฟ้า บุกโขยกอยู่เพียงฝ่ายเดียว

ลูกยิงของ โล เซลโซ่ เหมือนเป็นการปลุกเสือที่กำลังนอนหลับไหล ให้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหิวโหย เพราะหลังจากนั้น เรือใบสีฟ้า บุกเป็นพายุ หวังเอา "ไก่เดือยทอง" ตัวนี้ เป็นอาหารอันโอชะ อย่างไรก็ตาม การบุกของ แมนฯ ซิตี้ ที่ดูวูบวาบแล้วอันตรายเหลือเกิน กลับไม่สามารถบังคับให้มันตรงกรอบได้ โดยมีกราฟฟิคขึ้นมาให้เห็นช่วงกลางทางของครึ่งหลังว่า ต่อให้ลูกทีม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะบุกเป็นพายุขนาดไหน แต่การยิงตรงกรอบมีแค่ 1-2 ครั้ง เท่านั้น จนมาถึงช่วงประมาณ 20 นาทีสุดท้าย มีช็อตที่ เดอ บรอยน์ ได้โยนโด่งเข้าไปในกรอบเขตโทษ บอลยาวไปเสาไกลถึงหัวของ แฟร์นานดินโญ่ ที่สอดตัวมาโหม่ง เขาพยายามบังคับทิศทางกดลงพื้น แต่ก็ยังเป็น ยอริส ที่รับไว้ได้ ยิ่งใกล้หมดเวลา พายุ "เดอะ ซิตี้ เซน" ยิ่งถาโถม เชื่อว่า สเปอร์ส ต้องมีหอบแดกกันมั่ง เพราะแทบไม่ได้หยุดวิ่งกันเลยสักนาทีเดียว คราวนี้เป็น มาห์เรซ อีกครั้ง ที่ใช้ความสามารถเฉพาะตัว เลี้ยงตัดเข้ามาตรงหน้าเขตโทษ และ เมื่อหาช่องเจอก็ลองซัดดู แต่ก็ยังเป็น ยอริส ที่ปัดทิ้งออกไป นับว่าเกมนี้ ยอริส ช่วยไว้ได้เยอะจริงๆ

- ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่นั่น

ยันมาได้ตลอด 80 นาที แต่แล้ว สเปอร์ส ก็ทำนบแตก หลังยันสกอร์ 0-0 มาอย่างเนิ่นนาน เมื่อ เรือใบสีฟ้า มาได้ฟรีคิก สุดเส้นหลังฝั่งซ้าย อารมณ์คล้ายๆเตะมุม แต่ย่นระยะมาใกล้กรอบเขตโทษมากขึ้น ก่อนจะเป็น เควิน เดอ บรอยน์ บรรจงเปิดมาตรงกลางประตู ให้กับ อายเมริค ลาปอร์ต ขึ้นโหม่งเอาชนะแนวรับ สเปอร์ส ขวิดเข้าประตูไป ถึงจะมีตัวคุมเส้น แต่ก็เอาไม่อยู่ ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ขึ้นนำ 1-0 ได้สำเร็จ นาที 82 หลังพยายามเข้าทำมาตลอดทั้งเกม จากนั้นก็ไม่มีจังหวะตื่นเต้นอะไรอีกแล้ว เพราะ เรือใบสีฟ้า ปิดจ็อบเอาสกอร์ ก่อนจะสิ้นเสียงนกหวีด คว้าแชมป์ คาราบาว คัพ ซีซั่นนี้ไปครอง เป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกัน พร้อมประกาศศักดาเป็นแชมป์รายการนี้ มากที่สุด 8 สมัย เทียบเท่ากับ ลิเวอร์พูล เรียบร้อย

ฮาย ฮาวดี้-

logoline