logo-heading

ทีมชาติไทย กับฟุตบอลโลก 2022 จบลงไปแล้ว ถ้ายังอยากไปบอลโลกก็ค่อยมาว่ากันใหม่ 4 ปีข้างหน้า ตอนนี้ถึงเวลาที่เราต้องกลับมานับหนึ่งใหม่อีกครั้ง รอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

เชื่อว่าอารมณ์ของแฟนบอลชาวไทยส่วนใหญ่ในตอนนี้คงจะรู้สึกซึมเศร้า เงาหงอย เหมือนกันทุกคน ยกเว้นพวกที่เชียร์ทีมชาติไทยตามกระแส ก็คงจะไม่ได้รู้สึกเสียใจ หรือเจ็บปวดอะไรมากเท่าไหร่ นี่เป็นอีกครั้งที่เรายังไม่เข้าใกล้กับฟุตบอลโลก เหมือนเดิม ซึ่งมันก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอดตั้งแต่ที่ผมจำความได้ แต่ปัญหาก็คือในครั้งนี้มันเหมือนเราถอยหลังกลับมา 1 ก้าว โดยก่อนหน้านี้เราเคยเข้าไปถึงรอบ 10 ทีมและรอบ 12 ทีมสุดท้ายของรอบคัดเลือกมาแล้ว ซึ่งนั่นคือมาตรฐานที่เราจะต้องทำให้ได้เป็นอันดับแรก ส่วนผลงานในรอบคัดเลือก รอบ 3 จะเป็นยังไงก็ค่อยมาว่ากันอีกที ถ้าตกรอบ 12 ทีมสุดท้าย ทุกคนเข้าใจและยอมรับได้อยู่แล้ว ซึ่งในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก หนนี้ เป้าหมายส่วนตัวของผมก็คือขอให้ทีมชาติไทยผ่านเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายให้ได้เป็นอันดับแรก จะเข้าแบบเป็นแชมป์กลุ่ม หรือทีมอันดับสองที่ดีที่สุดก็ได้ และในรอบ 12 ทีมสุดท้ายก็ขอให้ผลงานมันดีกว่า 4 ปีที่แล้ว ถ้าตกรอบก็ขอให้มันเล่นได้ดีกว่าครั้งก่อน ซึ่งนั่นมันคือพัฒนาการที่บ่งบอกได้ว่าทีมชาติไทยของเราดีขึ้น แต่ผลงานล่าสุดตอนนี้ ก็ต้องยอมรับว่ามันแย่ลง และมันแย่ลงมากด้วย ไม่ใช่แค่แย่ธรรมดา จากที่มาตรฐานเดิมจองเราคือผ่านเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้าย และการันตีได้ไปเล่นเอเชี่ยน คัพ รอบสุดท้ายอัตโนมัติ ซึ่งนี่คือเป้าหมายที่แท้จริง ไม่ใช่ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ที่เราฝันกัน เอเชี่ยน คัพ 2023 รอบสุดท้ายต่างหากที่สำคัญ และต้องเข้ารอบด้วยการเป็น 12 ทีมสุดท้าย ไม่ใช่ต้องไปเล่นรอบคัดเลือก หรือรอบเพลย์ออฟ และบอกเลยว่าทุกอย่างเป็นไปได้ เรากำลังจะต้องทำผลงานให้ดีที่สุดในเกมสุดท้ายกับมาเลเซีย เพื่อหวังจบอันดับที่ 3 เพื่อจะไปเล่นรอบคัดเลือกเอเชี่ยน คัพ โดยไม่ต้องไปเพลย์ออฟ เพราะถ้าต้องไปเพลย์ออฟ นั่นแสดงว่าทีมของคุณตกต่ำสุดๆ ซึ่งทีมชาติไทยของบเรากำลังอยู่ในสถานการณ์นั้น และบอกเลยว่าจากผลงานในสองเกมล่าสุดที่ผ่านมา ก็ไม่กล้าจะแสดงความมั่นใจว่าเราจะเอาชนะมาเลเซียได้หรือไม่ นัดแรกที่เจอกันก็แพ้มาแล้ว จริงๆ การเจอทีมเสือเหลืองเกมนี้มันควรจะเป็นการลุ้นเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก ไม่ใช่มาลุ้นรอบคัดเลือกเอเชี่ยน คัพ แต่ก็นั่นแหละเมื่อสถานการณ์มาถึงตรงนี้ ก็คงต้องว่ากันไปตามนั้น คราวนี้มาว่ากันที่อนาคตของทีมชาติไทย กับความล้มเหลวในการคุมทีมของ อากิระ นิชิโนะ แม้ว่าจะพกดีกรีหรือเกียรติประวัติระดับอ๋องมาจากญี่ปุ่น แต่สุดท้ายกุนซือวัย 66 ก็ต้องเอาชื่อมาทิ้งไว้ที่ประเทศไทย ที่ผ่านมาทั้งการคุมทีม ยู23 และทีมชาติชุดใหญ่ ก็ต้องยอมรับตามตรงว่าสอบตกครับ โดยเฉพาะ 3 เกมสุดท้ายในบอลโลก รอบคัดเลือกนี้ มันแก้ตัวไม่ได้จริงๆ แม้ว่าการเตรียมทีมและสถานการณ์ต่างๆ มันไม่เอื้ออำนวยเนื่องจากสถานการณ์โควิด แต่ประเทศอื่นเขาก็เจอโควิดเหมือนกัน ซึ่งถ้าเรามีความพร้อม และเตรียมทีมได้ดีกว่านี้มันก็ควรจะมีผลงานที่ดีกว่าที่ตอนนี้ไม่ใช่หรือ จริงๆ แล้วเรื่องของสัญญาของ อากิระ นิชิโนะ กับทีมชาติไทย มีถึงปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่งก็คือหลังจบฟุตบอลโลก รอบคัดเลือกนั่นแหละ หากเข้ารอบก็คงจะได้ทำต่อ ถ้าแกอยากคุมทีมชาติไทยต่ออะนะ แต่พอมันเกิดสถานการณ์โควิด ทำให้เกมทีมชาติต้องเลื่อนไปปีนึง กุนซือแดนซามุไรก็เลยต้องตามมาคุมทีมให้จบทัวรืนาเม้นท์ตามสัญญา ซึ่งเกมกับมาเลเซีย วันที่ 15 มิ.ย.นี้ จะเป็นเกมสุดท้ายในฐานะกุนซือทีมชาติไทย ของลุงโนะ และแต่เดิมคือเมื่อจบ 3 นัดนี้ ก็จะมีการพิจารณาเรื่องสัญญากันใหม่ แต่ดูจากแนวโน้มตอนนี้แล้ว คงจะยากที่จะได้เห็น นิชิโนะ คุมทีมชาติไทยข้างสนามอีกครั้ง ปัญหาก็คือ แล้วหลังจากนี้ถ้าไม่ใช่ นิชิโนะ จริงๆ ใครจะมาคุมทีมชาติไทยต่อ เราจะเอายังไงกันดี หันกลับมาใช้โค้ชไทยไหม ซึ่งผมเชื่อว่าถ้ากลับมาใช้โค้ชไทย มันก็จะกลับมาดีได้ แต่มันจะดีแค่ช่วงแรก พอถึงเวลาที่ต้องไปแข่งขันในทัวร์นาเม้นท์ที่ใหญ่ขึ้นในระดับเอเชีย มันก็จะอีหรอบเดิม คือโค้ชไทยก็จะไปไม่ถึง แต่ถ้าเรามองจากตรงนี้ หลังจบฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ทัวร์นาเม้นท์ต่อไปก็คือเอเชี่ยน คัพ รอบคัดเลือก ซึ่งก็จะเจอทีมที่อยู่ในระดับเดียวกัน คือพวกอาเซียน ไม่ก็พวกอินเดีย, ศรีลังกา หรือถ้าเป็นอาหรับห็เป็นอาหรับเกรดบีอย่าง เลบานอน, ปาเลสไตน์, บาห์เรน, จอร์แดน อะไรพวกนี้ ซึ่งเราเคยเอาชนะมาหมดแล้ว และช่วงปลายปีก็จะมีซูซูกิ คัพ ซึ่งเจอกับชาติอาเซียนด้วยกัน ซึ่งการใช้โค้ชไทยผมว่าตรงนี้ตอบโจทย์ ถ้าเราหวังจะให้ทีมชาติไทยกลับมามีผลงานที่ดีเพื่อเรียกศรัทธาจากแฟนบอลกลับมาอีกครั้ง แต่หากเรายังคงเน้นใช้โค้ชต่างชาติเหมือนเดิม ก็ต้องมาดูว่าเราจะเอาแบบไหน เน้นญี่ปุ่นเหมือนเดิมไหม หรือจะลองไปเกาหลีเพราะตอนนี้ ยี่ห้อเกาหลีมาแรง ดูอย่างเวียดนาม และอินโดฯ ที่ทีมดีขึ้นชัดเจน หรือจะเปลี่ยนมาใช้โค้ชยุโรป หรือกลับไปโค้ชบราซิลอีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นโจทย์ที่ตัดสินใจยากมากว่าอนาคตทีมชาติไทย จะเอาแบบไหน เพราะถ้าใช้โค้ชนอกเหมือนเดิม ถ้าไม่เจอคนที่ใช่หรือแจ็คพอตจริงๆ มันก็ยากที่เขาจะพาทีมชาติไทยประสบความสำเร็จได้ โปรไฟล์ และความสำเร็จที่ผ่านมาไม่ใช่คำตอบ เราเคยมีโค้ชระดับโลกหลายคน ทั้ง เชเฟอร์, ราเยวัช ล่าสุดก็ นิชิโนะ ก็เห็นอยู่ว่าไม่เวิร์ค โค้ชต่างชาติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของทีมชาติไทยก็คือ ปีเตอร์ วิธ โค้ชชาวอังกฤษ ที่มาแบบโนเนม เรารู้จักแค่ว่าเขาคืออดีตนักเตะทีมชาติอังกฤษ และทีมแอสตัน วิลล่า เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรขนาดนั้น ส่วนโค้ชไทยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด จริงๆ ก็เป็นโค้ชทีมชาติไทยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดนั่นก็คือ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่ตอนมาคุมทีมชาติไทย ก็ไม่เคยทำทีมชาติมาก่อน ดังนั้นเราต้องมาคิดให้ดีว่าเราจะอยากให้ทีมชาติไทยของเราไปในทิศทางไหน ไม่ใช่ว่าเอาใครเข้ามาทำ พอไม่ประสบความสำเร็จ ทำไปแล้วไม่เวิร์คก็ปลดออก และมาเริ่มต้นกันใหม่อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ เราควรจะมีแนวทางที่ชัดเจนว่าแผนงานข้างหน้า โครงสร้างการทำทีมชาติไทย ตั้งแต่ชุดเยาวชนจนถึงชุดใหญ่ มันจะไปในทิศทางไหน และทำแบบจริงจัง มีแผนงานที่ชัดเจน ไม่ใช่เช้าชามเย็นชามแบบนี้ คนเป็นแฟนบอลก็เบื่อ พอชนะเราก็ดีใจ พอแพ้ไม่ประสบความสำเร็จ เราก็ได้แต่บอกว่าทุกคนทำดีแล้ว สู้ต่อไป มันก็เป็นอยู่แบบนี้เหมือนเดิม เรามีต้นแบบให้เห็นอย่างทีมชาติญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, เยอรมันนี, สเปน หรือเอาที่ใกล้ตัวที่สุดตอนนี้คือ เวียดนาม เขาฟอร์มทีมชุดนี้มาเป็นเกือบ 10 ปี ตั้งแต่ชุดเยาวชน 16 ปี, 19 ปี, ยู 23 จนมาถึงชุดใหญ่ มันมีพัฒนาการที่เราเห็นได้อย่างชัดเจน มันได้ได้ฟลุ๊คโดดขึ้นมาแค่ปีสองปี หรือดีแค่ชุดใดชุดหนึ่ง แต่มันดีขึ้นมาเรื่อยๆ ทีมชุดใหญ่ของเขาเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเอเชี่ยน คัพ ครั้งล่าสุด ทีมชุดยู 23 ซึ่งคือเดียวกับชุดใหญ่ตอนนี้ เป็นรองแชมป์เอเชีย ยู 23 กลับมามองที่ทีมชาติไทยของเรา ช่วงนึงเคยมีชุดเด็กนรกแตกขึ้นมา ช่วงปี 2013-2016 ที่เราคว้าแชมป์ซีเกมส์ 2 สมัย และซูซูกิ คัพ 2 สมัย หลายคนก็คิดว่าเด็กชุดนี้จะเกาะกลุ่มกันและไปได้ไกลในระดับเอเชีย แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึง จนมาถึงตอนนี้ นักเตะทีมชาติไทยที่เป็นชุดใหญ่จริงๆ มีอยู่ไม่กี่คน ตอนนี้เราต้องไปหวังเพิ่งพวกเด็ก 19ปี 23 ปี เป็นแกนหลักแบกทีมชาติไทย จริงอยู่ว่าเด็กพวกนี้เก่งเกินไว และขึ้นมาติดทีมชาติชุดใหญ่ได้เร็วกว่ารุ่นพี่ๆ แต่บางทีมันก็เหมือนจะแบกอายุมากเกินไป และเราไม่สามารถฝากความหวังได้อย่างเต็มที่ จริงๆ เรามีทรัพยากรให้เลือกใช้พอสมควร แข้งทีมชาติไทยฝีเท้าดีๆ ก็ยังมีหลายคน อยู่ที่คนเป็นผู้นำ ว่าเราจะได้คนที่ใช่มาทำทีมหรือเปล่า เขียนไปเขียนมาก็วนอยู่เรื่องเดิม เอาเป็นว่าหลังจากนี้ "ทีมชาติไทย" ก็มาเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ และหวังว่าการเริ่มนับหนึ่งครั้งใหม่นี้ จะเป็นการเริ่มต้นที่ถูกต้อง และนับ 2 นับ 3 ต่อไปให้ถึง 10  ไม่ใช่ว่าต้องกลับมานับหนึ่งกันใหม่อีกครั้งใน 2 หรือ 4 ปีข้างหน้า   หลังจากนี้ "ทีมชาติไทย" ต้องมาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่อีกครั้ง
logoline