logo-heading

อิตาลี ของกุนซือ โรแบร์โต้ มันชินี่ แสดงให้แฟนบอลทั่วโลกได้เห็นแล้วว่าพวกเขาพร้อมจะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้งแล้ว หลังจัดการถล่ม สวิตเซอร์แลนด์ ไปยับเยิน 3-0 ประตู ทำให้ผ่านไป 2 นัดเก็บได้ 6 คะแนนเต็ม ตีตั๋วผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอ้าท์ศึกยูโร 2020 ได้เป็นชาติแรกเรียบร้อย โดยซัดไป 6 ตุง และยังไม่เสียประตูเลย แถมหากรวมทุกถ้วยทุกรายการทัพ "อัซซูรี่" เก็บคีนชีทไปแล้ว 10 เกมติด พร้อมทำสถิติไม่แพ้ใครมาแล้ว 29 นัดติด! เรียกได้ว่าฟอร์มโคตรโหดเลยทีเดียว ซึ่งเกมนี้ที่ สวิตเซอร์แลนด์ โดน อิตาลี ถล่มยับมีอะไรน่าสนใจกันบ้างไปดูกัน

  เริ่มต้นที่การจัดทีมกันก่อนเลย อิตาลี ของ "มันโช่" ที่เกมนี้ได้เล่นในบ้านตัวเองที่กรุงโรม จัดทีมมาในระบบเดิมคือ 4-3-3 และเปลี่ยนผู้เล่นแค่คนเดียวจากเกมแรกที่ถล่ม ตุรกี มา 3-0 นั่นคือแบ็กขวา โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่ ได้ลงแทน ฟรอเลนซี่ ที่มีอาการบาดเจ็บ กองกลางยังวาง มานูเอล โลคาเตลลี่, จอร์จินโญ่ และ นิโคโล่ บาเรลล่า 3 ประสานเกมรุกทีเด็ดใช้ โดเมนิโก้ เบราร์ดี้, ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ และ ชิโร่ อิมโมบิเล่ ขณะที่ทางฝั่ง สวิตเซอร์แลนด์ แดนนาฬิกาของ วลาดิเมียร์ เพ็ตโควิช ไม่มีการปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่นจากเกมแรกที่เสมอกับ เวลส์ มา 1-1 เลยแม้แต่ตำแหน่งเดียว ผู้รักษาประตู แยน ซอมเมอร์ แนวรับก็มีอย่าง ฟาเบียน ชาร์ กองกลางมี กรานิต ชาก้า เพลย์เมกเกอร์ใช่ เซอร์ดาน ชากิรี่ คู่หัวหอกเป็น บรีล เอ็มโบโล่ กับ ฮาริส เซเฟโรวิช เริ่มเกมมาก็เป็นอย่างที่หลายฝ่ายคาดเดากันไว้ นั่นคือ อิตาลี ที่ยุคนี้ไม่มีอีกแล้วที่เล่นเน้นรับ เพราะตั้งแต่ มันโช่ เข้ามาคุม "อัซซูรี่" กลายเป็นทีมบ้าบุกไปซะแล้ว แล้วก็ทำได้ดีมากๆ ทีมเวิร์คยอดเยี่ยม สปิริตทีมก็เช่นกัน นาทีที่ 11 โอกาสจะแจ้งครั้งแรกของ อิตาลี ก็มาถึงเมื่อ เลโอนาร์โด้ สปินาซโซล่า แบ็กที่เกมแรกได้รับคำชมอย่างล้นหลาม เปิดบอลจากซ้ายย้ายเข้ามาในกรอบเขตโทษให้ ชิโร่ อิมโมบิเล่ ขึ้นโขกเน้นๆ แต่บอลเหินข้ามคานออกไปอย่างน่าเสียดาย ถัดมาไม่กี่นาที อิตาลี ก็ส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายได้สำเร็จจากจังหวะเตะมุม อินซินเญ่ โยนเข้ามา คิเอลลินี่ ทะยานขึ้นโขกบอลตกมาขลุกขลิกก่อนจะตกลงมาหน้าประตู คิเอลลินี่ ตามซ้ำซัดเข้าไปไม่เหลือซาก ทว่าสุดท้ายกลายเป็นเฮเก้อเพราะโดน VAR ริบกลับ บอกว่า แนวรับวัยเก๋าไปทำแฮนด์บอลซะก่อนนั่นเอง ไม่ได้ประตูขึ้นนำก็ไม่เป็นไร อิตาลี ไม่ได้ถอดใจยังคงบุกขึงใส่ สวิตเซอร์แลนด์ แดนนาฬิกาอย่างหนักหน่วง จนในที่สุดความพยายามของพวกเขาก็เป็นผลสำเร็จในนาทีที่ 26 จากจังหวะที่ โดเมนิโก้ เบราร์ดี้ เลี้ยงจี้หนีตัวประกบไปถึงเส้นหลัง ก่อนจะปาดเข้ามากลางประตูให้ มานูเอล โลคาเตลลี่ วิ่งเข้ามาชาร์จหน้าประตูเข้าไปง่ายๆ กลายเป็นประตูออกนำของทัพ "อัซซูรี่" หลังโดนนำ สวิตเซอร์แลนด์ ก็พยายมจะบุกสู้บ้าง แล้วได้ลุ้นเล็กๆ จากจังหวะยิงไกลของ ริคาร์โด้ โรดริเกซ แต่บอลก็พุ่งหลุดกรอบออกหลังไป ต่อมานาทีที่ 37 อิตาลี ก็เกือบหนีห่างเป็น 2-0 เลโอนาร์โด้ สปินาซโซล่า หลุดมาทางซ้ายเลี้ยงจี้เข้าเขตโทษ แต่ยิงไม่ค่อยดีบอลเลยหลุดกรอบออกไป จบครึ่งแรก อิตาลี เหนือกว่าทุกกระบวนท่าแต่ยังนำอยู่แค่ 1-0 เข้าสู่ครึ่งหลังแผนที่ วลาดิเมียร์ เพ็ตโควิช พยายามจะแก้มาเพื่อตามตีเสมอให้ได้ ยังไม่ทันได้ใช้งานเลยด้วยซ้ำก็โดนกระหน่ำตุงที่ 2 ซะแล้ว ในนาทีที่ 52 นิโคโล่ บาเรลล่า จ่ายบอลเข้ากลางให้ มานูเอล โลคาเตลลี่ ที่ยืนรออยู่บริเวณหัวกะโหลกง้างเท้าซัดด้วยซ้าย บอลย้ายมุดเสาขวามือเข้าประตูไปอย่างสวยงาม ส่งให้ อิตาลี นำห่างเป็น 2-0 และเป็นครั้งแรกในอาชีพค้าแข้งที่ โลคาเตลลี่ ยิงได้ 2 ประตูในเกมเดียว หลังจากโดนไป 2 เม็ด สวิตเซอร์แลนด์ ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว พวกเขาพยายามจะทำเกมบุกมากขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่า อิตาลี นี่เหนียวแน่นดีจริงๆ มีผ่อนๆ เกมไปบ้างแต่สุดท้ายก็ไม่ยอมเสียประตู จังหวะที่น่าจะด้ประตูตีไข่แตกมากที่สุดก็คงเป็นช่วงนาทีที่ 65 สตีเว่น ซูเบอร์ ตัวสำรองที่เพิ่งลงมาได้ไม่นาน ได้โอกาสหลุดเข้าไปซัดแต่ก็ติดเซฟ จิโจ้ ดอนนารุมม่า บอลกระดอนมาเข้าทาง ซูเบอร์ ได้ยิงแก้ตัวอีกที แต่อดีตนายด่าน เอซี มิลาน ที่ตอนนี้ยังไม่ได้ทีมใหม่ก็โชว์ซูเปอร์เซฟอีกครั้ง จากนั้นเกมโดยรวมก็ยังคงเป็น อิตาลี ที่ครองบอลครองเกมรุกบุกได้มากกว่า โอกาสยิงเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงท้ยเกมนาทีที่ 88 พวกเขาก็มาได้ประตูปิดกล่องตอกฝาโรง จากจังหวะตัดบอลของ ราฟาเอล โตลอย ตัวสำรองแล้วบอลเด้งมาเข้าทาง ชิโร่ อิมโมบิเล่ ตัดสินใจยิงไกลนอกกรอบเขตโทษ บอลไม่ได้แรงมากแต่ทิศทางดีจัด แหวกผู้เล่นสวิต ผ่านมือ ซอมเมอร์ เข้าประตูไปกลายเป็นประตูที่ 2 ในทัวร์นาเม้นท์นี้ของ อิมโมบิเล่ และเป็นการการันตี 3 คะแนนในนัดนี้ พร้อมส่ง อิตาลี ผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอ้าท์เป็นทีมแรกของศึกยูโรหนนี้  ส่วนทางฝั่ง สวิตเซอร์แลนด์ แม้จะแพ้ในเกมนี้แต่พวกเขาก็ยังไม่ตกรอบซะทีเดียว ต้องไปลุ้นต่อในนัดสุดท้าย โดยทัพ "นาฬิกา" จะต้องเจอกับ ตุรกี ที่ยังไม่มีสักแต้ม ขณะที่ อิตาลี แม้จะผ่านเข้ารอบแล้ว แต่เชื่อว่า "มันโช่" น่าจะไม่โรเตชั่นทีมมาก เพราะกำลังทำสถิติมาดีๆ ไม่เสียประตูมา 10 นัด ไม่แพ้ใครมา 29 นัด โดยนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มจะเจอกับ เวลส์ ที่มี 4 คะแนนจาก 2 นัดที่ผ่านมา  

ชิน ชินพัฒน์ 

 
logoline