logo-heading

อารมณ์เหมือนได้เจอรักครั้งเก่า เมื่อเห็นทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ลงฟาดแข้งในมหกรรมลูกหนังโลก อย่าง ยูโร 2020 ทั้งสีสัน,แพสชั่น, ความมุ่งมั่น และ สไตล์การเล่นแบบ "อัศวินสีส้ม" มันได้กลับมากระแทกสูบฉีดหัวใจอีกครั้ง

เพราะย้อนกลับไปสัก 4-5 ปีก่อนหน้านี้ เนเธอร์แลนด์ เข้าสู่ช่วงยุคต่ำ ไม่สามารถผ่านรอบสุดท้าย เข้าไปเล่นได้ทั้ง ยูโร 2016 และ ฟุตบอลโลก 2018 .. จากปกติที่ต้องเห็นกองทัพ "อัศวินสีส้ม" อยู่ทั่วทุกแห่ง เมื่อถึงรายการใหญ่ กลายเป็นความเงียบเหงาที่คืบคลานเข้ามาหา

กระนั้น ความผิดหวัง ทำให้คนแข็งแกร่งขึ้น .. "อัศวินสีส้ม" ได้ปรับเปลี่ยนไปหลายอย่าง ทั้งกุนซือ และ นักเตะที่เติบโตขึ้นมาเป็นแกนหลัก บวกกับดาวรุ่งนรกแตก ที่ผลัดใบขึ้นมาสู่กำลังสำคัญของทีม จนกระทั่งพวกเขาสร้างผลงานกระหึ่ม ด้วยการเป็นทีมแรกที่ผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ ยูโร 2020 ทั้งที่จริงแล้ว เนเธอร์แลนด์ เจอปัญหารุมเร้าหลายอย่าง เจอสิ่งขัดขวางหลายแขนง .. ซึ่งก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มขึ้น อัศวินสีส้ม โดนเหตุการณ์พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรกมากมาย จนดูเหมือนว่าอาจจะไม่ใช่ตัวเต็งประจำทัวร์นาเมนต์นี้ด้วยซ้ำ

- เริ่มจาก มีการเปลี่ยนกุนซือกลางคัน

หลังจาก เนเธอร์แลนด์ เข้าสู่ยุคตกต่ำ ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นทัวร์นาเมนต์ใหญ่ พวกเขาจึงแต่งตั้ง โรนัลด์ คูมัน เข้ามากอบกู้ศรัทธา และ กุนซือรายนี้ ก็ทำสำเร็จ เมื่อนำ อัศวินสีส้ม ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย ยูโร 2020 ได้สำเร็จ แต่กระนั้น คูมัน ตัดสินใจ ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อโยกย้ายไปคุม บาร์เซโลน่า ตามความฝัน ทำให้เขายังไม่ทันได้คุม เนธอร์แลนด์ ลุย ยูโร 2020 ที่เดิมมีกำหนดจัด 12 มิถุนายน – 12 กรกฎาคม 2020 แต่เลื่อนมากลางปีนี้ เพราะ โควิด-19 ระบาดหนัก จึงต้องยอมทิ้งทีมไว้กลางทาง และ มีการเปลี่ยนกุนซือกลางคัน มาเป็น แฟร้งค์ เดอ บัวร์

- ขาดกัปตันทีมตัวหลัก

ถึงแม้ว่า เนเธอร์แลนด์ จะต้องเปลี่ยนกุนซือ แต่อย่างน้อย แฟร้งค์ เดอ บัวร์ ยังมีเวลาทำทีมเป็นปีๆ ก่อนลุย ยูโร 2020 อย่างไรก็ตามที่มันหนักหนากว่านั้น ก็คือ ยูโร หนนี้ พวกเขาไม่มี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ปราการหลังกัปตันทีม เป็นกำลังสำคัญ เนื่องจาก ฟาน ไดค์ ขอถอนตัวออกจากทีม เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายอยู่กับ ลิเวอร์พูล ให้มีความฟิตพร้อมสู้ศึกฤดูกาลใหม่ หลังต้องพักนานเกือบทั้งซีซั่น จากอาการบาดเจ็บเอ็นไขว้หัวเข่า ดังนั้นการขาด "บิ๊กเฟอร์จิล" ส่งผลอย่างยิ่ง

- ยาสเปอร์ ซิลเลสเซ่น ติด โควิด

ขาดใครไปสักคนว่าแย่แล้ว แต่ เนเธอร์แลนด์ เจอข่าวร้ายซ้ำ 2 เนื่องจาก ยาสเปอร์ ซิลเลสเซ่น นายทวารมือ 1 ของทีม ดวงกุด เมื่อเขาป่วยเป็น โควิด-19 ก่อนทัวร์นาเมนต์ ยูโร แค่ 9 วัน ทำให้ แฟร้งค์ เดอ บัวร์ ต้องยอมจำใจตัดชื่อทิ้งออกจากทีม ฟังแล้วทุกอย่างดูไม่เข้าข้าง อัศวินสีส้ม เอาเสียเลย ทั้งๆที่อุตส่าห์ผ่านเข้ามาเล่น ยูโร 2020 ได้อีกครั้ง แต่หลังจาก 2 นัด ผ่านไปพวกเขาทำให้หลายๆคนเห็นเป็นขวัญตาว่า ทีมเวิร์คที่ดี เป็นอย่างไร และ สิ่งที่เห็นจากฟอร์มของขุนพลชาวดัตช์ มันมีหลายสิ่งหลายอย่างให้ชื่นชม ทั้งเกมที่เฉือนเอาชนะ ยูเครน อย่างสุดมันส์ 3-2 และ ตบเอาชนะ ออสเตรีย 2-0 ใน 2 เกมแรก

- แทบไม่มีซุปตาร์ แต่เน้นทีมเวิร์ค

สอดส่องไปดูขุนพล เนเธอร์แลนด์ ชุดนี้ แทบไม่มีซูเปอร์สตาร์ประดับทีมอยู่เลย ผิดกับยุคอดีตที่มีเหล่าตำนานมากมาย แต่ก็ยังมีผู้เล่นตัวท็อป ที๋โด่งดังบนลีกยุโรป อาทิ จอร์จินิโอ ไวนัลดุม, เมมฟิส เดปาย, เฟรงกี้ เดอ ยอง และ มัทไธส์ เดอ ลิกต์ ซึ่งนับเป็นกำลังหลักของทีมชุดนี้ แต่กระนั้น ก็ไม่มีใครจะต้องรับภาระหนักเหมือน "เดอะ แบก" มากเป็นพิเศษ เพราะ เดอ บัวร์ ยังคงทำให้ อัศวินสีส้ม ชุดนี้ เล่นเป็นทีมเวิร์ค ทุกตำแหน่งมีความสำคัญ ซึ่งสไตล์ของ "อัศวินสีส้ม" ยังเหมือนเดิม คือการเล่นที่สนุก และ ตื่นเต้น ทุกคนช่วยกันผลักดันเกมรุก และ ลงมาแพ็คเกมรับ จะเห็นได้ว่า 2 นัดที่ผ่านมา พวกเขาไม่ได้พึ่งใครเป็นพิเศษ อย่างเกมแรกที่พบกับ ยูเครน นั้น เนเธอร์แลนด์ มีโอกาสเข้าทำมากถึง 15 ครั้ง ครองบองถึง 66 เปอร์เซ็นต์ ถ้าปรับความเฉียบคมมากกว่านี้ อาจจะสบายมากกว่าเดิมเยอะ โดย 2 เกมที่ผ่านมา นอกจากตัวท็อปที่กล่าวไป ก็มี เดนเซล ดุมฟรายส์ วิงแบ็กฝั่งขวาที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น หรือ วูท เวกฮอร์สท์ ที่เพิ่งติดทีมชาติ ได้ไม่นาน ก็สามารถทำประตูได้แล้ว ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงการให้โอกาส และ นักเตะเหล่านั้นก็ตอบแทนออกมา ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยม

- เกมรับแข็งแกร่ง แม้ขาดตัวหลัก

จริงอยู่ที่ เนเธอร์แลนด์ จะโดนยิง 2 ประตู ในช่วงเวลาแค่ 5 นาที นัดที่เจอกับ ยูเครน แต่นั่นคงเป็นประสบการณ์ที่พวกเขาเก็บเอาไปเป็นการบ้าน ที่ต้องแก้ไขให้ดีขึ้น ทว่าอย่างที่บอกการไม่มี ฟาน ไดค์ ย่อมส่งผล อีกทั้งวันนั้นไม่มี มัทไธส์ เดอ ลิกต์ ลงประจำการด้วย เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บ อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เอาตัวรอดมาได้ กระทั่งมาถึงเกมที่เอาชนะ ออสเตรีย 2-0 มันเห็นเลยว่า การได้ เดอ ลิกต์ กลับมา มันมีผลมากเพียงใด เกมรับพวกเขาแน่นขึ้น ต่อให้ไม่มีพี่ใหญ่อย่าง ฟาน ไดค์ โดยนัดล่าสุด อัศวินสีส้ม ปล่อยให้ ออสเตรีย ยิงตรงกรอบแค่เพียง 1 ครั้ง เท่านั้น ต่อให้จะโดนบุกหนักมากแค่ไหน ก็สามารถรับมือเก็บคลีนชีตไว้ได้ เป็นการตอกย้ำว่า 5 นัด หลังสุด เก็บคลีนชีตได้ 3 นัด ไม่ใช่เรื่องฟลุ๊ค

- หัวใจของความไม่ยอมแพ้

ในเกมที่ เนเธอร์แลนด์ เจอกับ ยูเครน ไม่รู้ว่าถ้าเป็นทีมอื่น จะสภาพจิตใจถดถอยไปมากแค่ไหน เพราะจากนำ 2-0 แบบชิลล์ๆ กลายเป็นว่า โดนตีเสมอ 2-2 นาที 75 และ นาที 79 แต่ลูกทีมของ แฟร้งค์ เดอ บัวร์ แสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่เคยยอมแพ้ พยายามตั้งหน้าตั้งตาบุกอีกครั้ง จนกระทั่งยิงแซงเอาชนะ 3-2 ได้สำเร็จ ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น, แพสชั่นความหิวกระหาย เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่พวกเขาตั้งเอาไว้  จริงอยู่ที่ ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ จะเป็นม้านอกสายตา ไม่ใช่ตัวเต็งที่ถูกยกไปเป็นหนึ่งในทีมลุ้นแชมป์ ยูโร 2020 หนนี้ แต่การแสดงให้เห็นถึงผลงานอันยอดเยี่ยม พวกเขาก็พร้อมสร้างเซอร์ไพรส์ เขย่าบัลลังค์โทรฟี่ เหมือนที่ตำนาน 3 ทหารเสือ รุด กุลลิท , มาร์โก แวน บาสเท่น , แฟรงค์ ไรจ์การ์ด เคยทำเอาไว้ เมื่อ ยูโร 1988

ฮาย ฮาวดี้

logoline