logo-heading

ใครไม่ได้ดูเกมนัดสุดท้าย ยูโร 2020 ของกลุ่มเอฟ บอกเลยว่าพลาด เพราะเป็นเกมระดับ 5 ดาว ทั้งคู่ ฝรั่งเศส ปะทะ โปรตุเกส และ เยอรมัน ฟาดแข้ง ฮังการี ซึ่งเกือบจะมีบิ๊กเซอร์ไพรส์ ส่งยักษ์ใหญ่กลับบ้านอยู่แล้ว เรียกว่าสถานการณ์ตึงเครียดสุดๆ แต่ในเมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว ก็จะพาไปดูว่าบทสรุปของกลุ่มนี้ ตั้งแต่นัดแรกเป็นอย่างไรบ้าง มาติดตามกันได้เลย

ทีมชาติฝรั่งเศส

เจ้าของแชมป์ ฟุตบอลโลก 2018 นับว่าเป็นตัวเต็งเบอร์ต้นที่มีโอกาสคว้าแชมป์ ยูโร 2020 หนนี้ เพราะขุมกำลังสุกงอมได้ที่ อีกทั้งยังไปเรียกตัว คาริม เบนเซม่า กลับมารับใช้ทัพ "ตราไก่" อีกครั้ง ในรอบ 5 ปี เกมประเดิมสนามของทัพ "ตราไก่" ทำได้อย่างสวยสดงดงาม ด้วยการบุกเอาชนะ เยอรมัน 1-0 จากการทำเข้าประตูตัวเองของ มัตส์ ฮุมเมิ่ลส์ แนวรับ อินทรีเหล็ก ซึ่งนัดนี้ ฝรั่งเศส เล่นได้เหนือกว่า และ ส่งบอลเข้าไปซุกตาข่ายได้ถึง 2 ครั้ง จากช็อตการยิงอันเหนือชั้นของ เอ็มบัปเป้ และ ยิงจ่อๆของ เบนเซม่า แต่ทั้ง 2 เม็ด ถูกปฏิเสธด้วย VAR ทั้งหมด ทว่า 3 แต้ม ก็เพียงพอแล้ว พวกเขามีโอกาสเข้าสู่รอบน็อคเอาท์อย่างรวดเร็ว ต่อให้มาอยู่ในกลุ่ม "กรุ๊ป ออฟ เดธ" เพราะนัด 2 คู่แข่งเป็นแค่ ฮังการี มองด้วยตาเปล่า ก็รู้ว่า ฝรั่งเศส เป็นคนเชียงราย เพราะเหนือกว่าเยอะ ! แต่กลายเป็นว่าโดน "หมูสู้มีด" ถูกขึ้นนำแบบเซอร์ไพรส์ ต้องตาลีตาเหลือกไล่ตีเสมอ 1-1 ในช่วงครึ่งหลัง ดีที่ไม่แพ้กลับไป ไม่งั้นงานเข้า เนื่องจากนัดสุดท้าย ฝรั่งเศส การันตีผ่านเข้ารอบเรียบร้อย อยู่ที่ว่าจะจบอันดับที่เท่าไหร่แค่นั้น ซึ่งหากจบอันดับ 2 จะต้องไปพบกับ อังกฤษ กระดูกชิ้นโต ดังนั้นที่ 1 ชัวร์สุด แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะคู่แข่งคือ โปรตุเกส ต่างก็ต้องการแต้มเพื่อเข้ารอบเช่นกัน และ มันก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เมื่อทีมเบอร์ใหญ่เจอกัน เป็นความมันระดับ 5 ดาว เพราะ ฝรั่งเศส ถูกนำไปก่อน เมื่อ อูโก้ ยอริส ไปทำเสียจุดโทษ แต่ ตราไก่ ก็มาไล่ตีเสมอ 1-1 จากจุดโทษของ คาริม เบนเซม่า เช่นกัน เริ่มครึ่งหลังคราวนี้เป็นพวกเขาพลิกแซง เมื่อ เบนเซม่า คนเดิม วิ่งเลี้ยงไลน์ไม่ล้ำหน้า หลุดเข้าไปยิงเช็ดเสาอย่างเฉียบคมให้ทีมแซงขึ้นนำ 2-1 ทว่าสุดท้าย ฝรั่งเศส ก็มาเสียจุดโทษจากลูกแฮนด์บอล โดนตีเสมอ 2-2  กระนั้นช่วงท้ายแทบไม่มีจังหวะอันตรายแล้ว ต่างฝ่ายต่างเล่นติ๊ดชึ่งเผาเวลาให้มันหมดไป เพราะผลเสมอจะเข้ารอบทั้งคู่ และสุดท้ายก็จบลงด้วยสกอร์ 2-2 โดย ฝรั่งเศส เข้าเป็นอันดับ 1 ของกลุ่ม เก็บไป 5 คะแนน จะเข้าไปพบกับทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์

ทีมชาติเยอรมัน

ทีมชาติเยอรมัน ภายใต้การคุมทีมของ โยอัคคิม เลิฟ เริ่มต้น ยูโร 2020 ด้วยอาการกระท่อนกระแท่นอีกครั้ง หลังประเดิมสนามด้วยการแพ้ ฝรั่งเศส 0-1 ชนิดที่พวกเขาน่าจะโดนเยอะกว่านี้ด้วยซ้ำ ทำเอาภาพตกรอบแรก ฟุตบอลโลก 2018 ย้อนกลับมาอยู่ในหัวสมองทันที สถานการณ์ของ "อินทรีเหล็ก" ดูไม่ดีเท่าไหร่ เพราะนัดที่ 2 ต้องพบกับ โปรตุเกส หากพ่ายไปอีก โอกาสตกรอบสูงมาก ดังนั้นต้อง 1 หรือ 3 แต้ม ไว้ก่อน ซึ่งแววมาทันที เนื่องจากเป็นฝ่ายตามหลัง 0-1 ยังดีที่ เยอรมัน มายิงแซง 4 ลูกรวด ก่อนจะเอาชนะไปด้วยสกอร์ 4-2 โดยคนที่โชว์ฟอร์มได้โดดเด่นคือ โรบิน โกเซนส์ แบ็กซ้าย จาก อตาลันต้า ที่เติมขึ้นมาทั้งยิง และ แอสซิสต์ ด้วยชัยชนะเหนือ โปรตุเกส ทำให้ เยอรมัน แทบจะตีตราจองผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย เพราะคู่แข่งนัดสุดท้ายคือ ฮังการี ซึ่งเป็นคู่แข่งที่เบาที่สุด อีกทั้งยังได้เล่นในบ้านของตัวเอง ดังนั้นอย่างแย่แค่เสมอ ก็เพียงพอแล้ว ไม่น่าถึงขั้นจะพลิกแพ้ และ กระเด็นตกรอบแบบช็อคโลก อย่างไรก็ตาม ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน เพราะโลกฟุตบอลมันพลิกผันได้เสมอ โดย เยอรมัน ต้องมาดิ้นทุรนทุราย เมื่อถูก ฮังการี ลูบคม ยิงขึ้นนำแบบเซอร์ไพรส์ ตั้งแต่ 11 นาทีแรก ส่วนอีกคู่ โปรตุเกส กับ ฝรั่งเศส เสมอกันอยู่ หากจบแบบนั้น "อินทรีเหล็ก" จะตกรอบทันที เวลาผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมงของเกม กว่าที่ เยอรมัน จะตีเสมอ 1-1 ได้จาก ไค ฮาแวร์ตซ์ นาที 66 ทว่าตดยังไม่ทันหายเหม็น ฮังการี มายิงแซง 2-1 อีกครั้ง ในอีก 2 นาทีถัดมา จบแบบนั้น อินทรีเหล็ก จะเก็บของกลับบ้านทันที เวลาของพวกเขาในศึก ยูโร 2020 กำลังหมดลง แต่กลายเป็น เลออน โกเร็ตซ์ก้า มาช่วยชีวิต ยิงตีเสมอ 2-2 นาที 84 ทำให้ เยอรมัน เก็บ 1 แต้มสำคัญ รอดแบบหวุดหวิด ขยับมาจบอันดับ 2 กลุ่ม เอฟ มี 4 แต้ม ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีม ไปพบกับทีมชาติอังกฤษ

ทีมชาติโปรตุเกส

ทีมชาติโปรตุเกส เจ้าของแชมป์ ยูโร เมื่อครั้งก่อน ประเดิมสนามครั้งนี้ได้อย่างสวยงาม แม้จะหืดจับไปบ้าง กว่าจะเอาชนะ ฮังการี 3-0 ซึ่งประตูแรกเกิดขึ้นนาที 84 จาก ราฟาเอล เกร์เรยโร่ ซึ่งจะหมดเวลาอยู่แล้ว แต่พอยิงได้ ประตูก็ไหลมา เทมา โดยอีก 2 ลูก มาจากฝีเท้าของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อย่างไรก็ตาม อีก 2 นัดที่เหลือ คือการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของทัพ "ฝอยทอง" เมื่อต้องเจอกับ เยอรมัน .. ดูเหมือนว่า โปรตุเกส ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น เมื่อ "ซีอาร์ 7" คนเดิม รับบอลจาก ดิโอโก้ โชต้า ได้ยิงจ่อๆให้ทีมขึ้นนำ 1-0 แต่กลายเป็นปลุก อินทรีเหล็ก ให้ตื่นจากภวังค์ เพราะ โปรตุเกส โดนรัว 4 ลูกรวด แม้จะยิงตีตื้นมาได้อีกลูก แต่ก็ไม่ทันแล้ว พ่ายไป 2-4 ต่อให้ โปรตุเกส จะต้องไปพบกับ ฝรั่งเศส นัดสุดท้าย แต่การมี 3 แต้ม ก็อาจเพียงพอต่อการเข้ารอบ แม้จบเป็นอันดับ 3 ก็ตาม โดยมีข้อแม้ว่า ตัวเองห้ามแพ้ ฝรั่งเศส และ อย่าให้ ฮังการี พลิกล็อคชนะ เยอรมัน แค่นั้น ซึ่งพวกเขามีโอกาสแพ้ก็จริง ทว่าโอกาสที่ อินทรีเหล็ก จะพ่าย ฮังการี เป็นไปได้ยากมาก แต่อย่างที่บอกไว้ครับ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ โดยมันมีช่วงที่ โปรตุเกส ตามหลัง ฝรั่งเศส 1-2 และ ฮังการี ขึ้นนำ เยอรมัน 1-0 ซึ่งคะแนนแบบเรียลไทม์ ทัพ "ฝอยทอง" จะตกรอบทันที ในฐานะบ๊วยของกลุ่ม เพราะจะมีแค่ 3 แต้ม เท่ากับ อินทรีเหล็ก ทว่า เฮด-ทู-เฮด เป็นรอง ยังดีที่สุดท้ายแล้ว โปรตุเกส ตามตีเสมอ ฝรั่งเศส ได้สำเร็จจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซึ่งซัด 2 จุดโทษในเกมนี้ ขณะที่ เยอรมัน ก็ตีเสมอ ฮังการี ได้เช่นกัน จบลงด้วยผลเสมอ 2-2 ทั้ง 2 คู่ ทำให้ทัพ "ฝอยทอง" เข้าเป็นอันดับ 3 ของกลุ่ม มี 4 แต้ม จะเข้าไปเจอกับตัวเต็งอย่าง ทีมชาติเบลเยี่ยม

ทีมชาติฮังการี

ฮังการี อารมณ์เหมือนกวางน้อย วิ่งหลงทางในป่าใหญ่ แล้วดันทะลึ่งไปเจอกับฝูงเสือ ฝูงสิงโต อย่างพวก โปรตุเกส, ฝรั่งเศส และ เยอรมัน ที่มองเห็นพวกเขาเป็นอาหารอันโอชะ แน่นอนไม่มีใครคิดเลยว่า ฮังการี จะผ่านเข้ารอบไปได้ แต่ กวางน้อย อย่าง ฮังการี ไม่ใช่สัตว์อ่อนแอ แบบในสารคดี "ดิสคัฟเวอรี่ แชนแนล" พวกเขาแฝงไปด้วยเขี้ยวเล็บ ที่บู๊บุ๋นกัดสู้ไม่มีถอย ถึงแม้เกมนัดแรก จะประเดิมด้วยการแพ้ โปรตุเกส 0-3 แต่หากใครได้ดูเกมเต็ม 90 นาที ต้องบอกว่า นักรบแมกยาร์ สู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี เกือบยันอยู่แล้ว แต่โดนท้ายเกม พอมาถึงแมตช์ที่ 2 .. ฮังการี ต้องมาเจอกับ ฝรั่งเศส ทุกคนก็คงคิดว่า มันน่าจะเข้าสู่อีหรอบเดิม เหมือนที่ "โปรตุเกส" ทำเอาไว้ แต่ทุกอย่างที่คาด .. ไม่ใช่แบบนั้น เพราะ ฮังการี ได้ลงเล่นรังเหย้า ณ สนาม ปุสกัส อารีน่า ท่ามกลางแฟนบอลเข้ามาชมมืดฟ้ามัวดิน นักรบแมกยาร์ วิ่งสู้ฟัด ประหนึ่งว่านี่คือ "นัดสุดท้ายของชีวิต" พวกเขาวิ่งกันแบบลืมตาย ไล่บี้นักเตะ ฝรั่งเศส ทุกดอก ก่อนจะทำเซอร์ไพรส์ ยิงประตูขึ้นนำ 1-0 ได้ก่อน อัตติล่า ฟิโอล่า น่าเสียดายที่ครึ่งหลังมาถูก ฝรั่งเศส ตีเสมอ 1-1 แต่อย่างน้อย ฮังการี ก็รักษาสกอร์ไว้ได้ เก็บ 1 แต้มล้ำค่า ต่อลมหายใจไปลุ้นนัดสุดท้าย ซึ่งต้องปรบมือด้วยความชื่นชม ความเป็นนักรบของ ฮังการี เพราะเกือบจะล้ม เยอรมัน ผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ได้แล้ว โดยได้ประตูนำ 2 ครั้ง 2 ครา จาก อดัม ซาไล ที่ยิง 1-0 และ อันดราส เชเฟอร์ ซัดให้ทีมนำ 2-1 ซึ่งถ้าชนะ จะเป็นการล้มยักษ์หักปากกาเซียนทันที โดยเหลืออีกแค่ 6 นาที เท่านั้น แต่พวกเขาต้านไม่อยู่ มาโดนทัพ "อินทรีเหล็ก" ตีเสมอ 2-2 นาที 84 ต้องตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย แต่มันชนะใจแฟนบอลมากจริงๆ

ฮาย ฮาวดี้-

logoline