logo-heading

เรียกได้ว่าหืดจับกว่าที่คิดสำหรับทีมชาติอิตาลี ที่กว่าจะผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายของศึกยูโรได้ ก็เล่นเอาต้องไปลุ้นกันเหนื่อยถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ เพราะ ออสเตรีย นัดนี้พี่แกมาดีมาเต็มวิ่งสู้ฟัดเต็มที่ทำเอา "อัซซูรี่" ที่ชนะรวดมา 3 เกมในรอบแบ่งกลุ่มไปแทบไม่เป็นเลยทีเดียว 

  อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้ว อิตาลี ก็อาศัยศักยภาพนักเตะที่เหนือกว่า ความเก๋าประสบการณ์ในทัวร์นาเม้นท์ใหญ่ ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ ด้วยการชนะในช่วงต่อเวลาไปพิเศษไป 2-1 ประตู หลังเจ๊าจืดกันใน 90 นาที  0-0 เกมนี้จะมีอะไรน่าสนใจบ้างไปดูกันเลยดีกว่า เริ่มต้นกันที่การจัดทีมก่อนเลย อิตาลี ของ โรแบร์โต้ มันชินี่ นัดนี้ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ปราการหลังตัวหลักยังคงได้รับบาดเจ็บอยู่ทำให้ลงเล่นไม่ได้ ซึ่งเกมนี้ "มันโช่" ก็เลือกใช้ ฟรานเชสโก้ อแชร์บี้ จับคู่กับ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ กัปตันทีม ขนาบข้างด้วย 2 แบ็กจอมบุก เลโอนาร์โด้ สปินาซโซล่า และ โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่ กองกลางวาง จอร์จินโญ่, นิโคโล่ บาเรลล่า และ มาร์โก แวร์รัตติ ที่ฟิตเต็มร้อยกลับมาแย่งตำแหน่งของ มานูเอล โลคาเตลลี่ ไปได้เรียบร้อย ส่วน 3 แนวรุกก็จัดเต็ม ลอเรนโซ่ อินซินเญ่, โดมินิโก้ แบร์ราร์ดี้ และ ชิโร่ อิมโมบิเล่ ขณะที่ทางฝั่ง ออสเตรีย ของ ฟรานโก้ โฟด้า ที่ถือว่าทำผลงานได้ดีเกินคาดในรอบแบ่งกลุ่ม เก็บ 6 คะะแนน ผ่านเข้ารอบมาด้วยการเป็นรองแชมป์กลุ่ม ได้รับข่าวดีก่อนเกมเมื่อ มาร์ติน ฮินเตอร์เรกเกอร์, คริสตอฟ เบาม์การ์ทเนอร์ และ คอนราด ไลเมอร์ ที่ก่อนเกมมีข่าวว่าไม่ฟิต อาจมีชื่อแค่สำรองสุดท้าย ลงเล่นเป็นตัวจริงไหวทั้งหมด นอกจากนี้แน่นอนเดอะแบกของทีมก็คือ ดาวิด อลาบา ก็ลงช่วยทั้งรุกและรับ ส่วนในแนวรุกก็ฝากความหวังไว้ที่ มาร์โก้ อาร์เนาโตวิช เริ่มเกมการแข่งขัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าก่อนแข่งใครๆ ก็มองว่า อิตาลี เหนือกว่า ออสเตรีย อยู่หลายขุม ยิ่งดูจากฟอร์มการเล่นที่โคตรจัดจ้านตั้งแต่ช่วงก่อนยูโรลากมาจนถึงรอบแบ่งกลุ่ม ใครๆ ก็ว่า "อัซซูรี่" ดีกว่าทั้งนั้น แต่พอเล่นเข้าจริง 15 นาทีแรกนี่ไม่ใช่เลยนะ ออสเตรีย ทำเกมต่อบอลขอเปิดลองสู้กับ อิตาลี ได้ดีเลยทีเดียว แต่พอสู้ไปสู้มาคงเห็นว่าระยะยาวอาจไม่เวิร์ค เลยเลือกจะกลับไปถอยตั้งรับให้เหนียวแน่นและรอสวนกลับ ซึ่งก็ทำให้เกือบโดนเหมือนกัน แต่ก็ต้องชม ดาเนียล บัคมันน์ ที่ไม่พลาดง่ายๆ ปัดป้องเซฟลูกยิงของทั้ง อินซินเญ่, สปินาซโซล่า และ บาเรลร่า ออกไปได้ แต่แล้วจังหวะที่ควรได้ที่สุดของ อิตาลี และควรได้มากที่สุดตลอด 90 นาที ก็เกิดขึ้นในนาทีที่ 32 อิมโมบิเล่ รับบอลจากเพื่อนก่อนจะพลิกนิดหน่อยแล้ววางเท้ายิงไกลซะงั้นแบบไม่มีใครคาดคิด บอลพุ่งลอยโด่งผ่านมือ ดาเนียล บัคมันน์ แต่มันดันไม่ผ่านเข้าตาข่ายเพราะชนเข้าสามเหลี่ยมอย่างจัง ทำให้ อิตาลี พลาดโอกาสได้ประตูขึ้นนำอย่างน่าเสียดาย ทำให้สุดท้ายก็จบครึ่งแรกไปด้วยการเจ๊าจืด 0-0 ชนิดที่ อิตาลี หาจังหวะจบและครองบอลได้เยอะกว่าชัดเจน แต่ยังขึ้นนำไม่ได้เลยทำให้กลายเป็นเกมที่อึดอัดไปซะงั้น เริ่มครึ่งหลัง จากที่หลายฝ่ายมองว่า อิตาลี จะเดินหน้าบุกบดเข้าใส่ต่อไปเหมือนช่วงท้ายครึ่งแรก แต่พอเริ่มครึ่งหลังกลับมากลายเป็น ออสเตรีย ที่ทำเซอร์ไพร้ส์แก้เกมมาได้ดีมาก หาจังหวะลุ้นได้ประตูขึ้นนำ และมีจังหวะต่อบอลสวยๆ โชว์ผู้เล่น อิตาลี หลายต่อหลายครั้งซะอย่างงั้น จากรูปเกมที่ อิตาลี ดูดีกว่าเยอะเริ่มกลับมาเป็นสูสีแล้วในช่วงครึ่งหลัง ออสเตรีย ยังคงโหมบุกเข้าใส่ อิตาลี ที่เมาหมัดตั้งเกมของตัวเองไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ใช้จังหวะเปลืองกันไปเอง ไม่ว่าจากการยิงของ อาร์เนาโตวิช ฟรีคิกของ อลาบา และลูกยิงไกลของ ซาบิทเซอร์ ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นผล จนกระทั่งนาทีที่ 67 แฟนบอล ออสเตรีย ก็ได้ลุกขึ้นเฮ จากจังหวะที่ อาร์เนาโตวิช หลุดไปถึงสุดเส้นโขกย้อนกลับมาผ่านมือ จีจี้ ดอนนารุมม่า เข้าประตูไป แต่สุดท้ายหลังเฮไปได้แค่นาทีเดียว ก็ต้องเฮเก้อเพราะ VAR เช็คแล้วว่า อาร์เนาโตวิช นั้นยืนอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าก่อนที่จะโขกสวนเข้าประตูไป ทำให้สกอร์ยังอยู่ที่ 0-0  จากนั้นก็เป็น อิตาลี ที่เริ่มเปลี่ยนตัวเอาเด็กใหม่ๆ สดๆ ลงมาบดขยี้ ออสเตรีย ที่วิ่งกันจนเพลียแล้ว ซึ่งมันก็ได้ผล อิตาลี กลับมาเล่นดีมีโอกาสยิงอีกเรื่อยๆ แต่แนวรับ ออสเตรีย ก็ยังทำกันได้ดี สุดท้ายไม่เสียประตูและยันเสมอ 0-0 ได้จนจบครบ 90 นาทีอย่างเหลือเชื่อ ต้องต่อเวลากันเพิ่มอีก 30 นาที  ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าตะบันกันมา 90 นาที หรือชั่วโมงครึ่ง พวกมึงจะไม่ยอมยิงกัน แต่พอเข้าสู่ช่วงทดเวลาพิเศษเท่านั้นแหละ แค่ 5 นาที เฟเดริโก้ เคียซ่า ที่ลงมาเล่นเป็นตัวสำรองก็โชว์ทักษะพักด้วยหัว เกี่ยวด้วยขาหนีมาตะบันเข้าประตูไปอย่างสุดสวยช่วยให้ อิตาลี ออกนำในนาทีที่ 95 แต่ยุคสมัยนี้ไม่ใช่สมัยก่อน ไม่มีแล้ว "โกลเด้น โกล" ประตูทงประตูทองอะไร นึกได้ดังนั้น ออสเตรีย ก็พยายามจะรวบรวมสติถอนฐานทัพเกมรับ เริ่มเปิดเกมรุกบุกเข้าใส่ อิตาลี บ้าง แต่อย่างว่าตอนนี้บอลมันเข้าทางแล้ว อิตาลี ได้ประตูที่พวกเขาต้องการ แถมเปลี่ยนพวกฟิตๆ พลังหนุ่มลงมาใหม่ แบบสดๆ ซิงๆ เพื่อไล่บอล เพรสซิ่ง จ่ายเร็ว เล่นเอา ออสเตรีย ที่เหนื่อยหอบกันหมดแล้ว เสียกระบวนท่า แล้วก็พลาดท่าเสียตุงที่ 2 จนได้จากอีก 1 ตัวสำรองของทัพ "อัซซูรี่" อย่าง มัตเตโอ เปสซิน่า ในนาทีที่ 105 เรียกได้ว่าแทบจะเป็นการฝัง ออสเตรีย จมดินแล้ว ทว่า ออสเตรีย ก็ไม่มียอมมีลูกฮึดขอผุดขึ้นชั้นมาจากหลุมรอลุ้นหน่อยเหอะ เมื่อมาได้เตะมุมทางฝั่งขวา บอลเปิดมาที่เสาแรกให้ ชาซ่า คาไลด์ซิช หัวหอกตัวสำรองเจ้าของความยาว 2 เมตรกว่า หมายถึงส่วนสูงนะไม่ใช่อย่างอื่น พุ่งตอร์ปิโดบกโหม่งเสียบเสาเข้าไป ทำให้ ออสเตรีย มีหวังตีเสมอได้อีกครั้งในช่วง 6 นาทีสุดท้ายก่อนจะหมดเวลาพิเศษ อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่เหลือ ออสเตรีย ไม่สามารถพลิกกลับมาสร้างปาฏิหารย์ได้สำเร็จ จบ 120 นาที แพ้ อิตาลี ไป 2-1 ประตู กระเด็นตกรอบไปเป็นที่เรียบร้อย แต่เป็นการตกรอบที่โคตรน่าภาคภูมิใจสู้สุดใจขาดดิ้นกับ อิตาลี ที่เริ่มถูกยกให้เป็นเต็ง 1 ได้ขนาดนี้แม่งก็โคตรแจ๋วแล้ว แถมยังเกือบชนะอีกด้วยถ้าไม่โดน VAR ริบคืน ข้าน้อยขอคาราวะหัวจิตหัวใจเหล่าแข้งออสเตรียจริงๆ

ส่วนทางฝั่ง อิตาลี นัดนี้ก็น่าจะทำให้พวกเขากลับไปพิจารณาตัวเอง ดูว่าจุดบกพร่องของพวกเขาคืออะไร ตรงไหน และแก้อย่างไร เพราะจะว่าไป 3 นัดแรกในรอบแบ่งกลุ่มเราแทบมองไม่เห็นจุดอ่อนของทัพ "อัซซูรี่" เลยด้วยซ้ำ ซึ่งยังมีเวลาให้พวกเขาเตรียมตัว อย่างน้อยก็มากกว่าคู่แข่งในรอบก่อนรองชนะเลิศละกัน ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะเจอกับ โปรตุเกส หรือ เบลเยี่ยม ต้องรอลุ้นดูกันต่อไป แต่ไม่ว่าจะเจอใครถ้า อิตาลี เล่นทรงเกมนี้ที่เจอกับ ออสเตรีย บอกได้เลยว่ารอดยาก!

 

ชิน ชินพัฒน์

เกือบตาย! อิตาลี หืดจับเชือด ออสเตรีย 2-1 ช่วงต่อเวลา  
logoline