logo-heading

เรียกได้ว่าเป็นอีกคู่ที่ต้องลุ้นกันถึงฏีกาดวลจุดโทษตัดสิน ระหว่าง สเปน กับ สวิตเซอร์แลนด์ แม้ชื่อชั้นนักเตะและชื่อชั้นของชาติ ทัพ "กระทิงดุ" ดูจะเหนือกว่าอยู่พอตัว แต่การผ่านเข้ามาถึงรอบ 8 ทีมสุพดท้ายด้วยการเชือดแชมป์โลก ฝรั่งเศส มานี่ก็ถือว่าไม่ธรรมดาไชยามิตรชัย

  แล้วพอเล่นจริงๆ มันก็เป็นแบบนั้น แม้ว่า สเปน จะออกนำเร็ว แต่ สวิส ก็ไม่ยอมแพ้สู้ได้ดีจนได้ประตูตีเสมอ เหลือ 10 คน แต่ก็ยื้อได้ถึงต่อเวลา และดวลเป้าตัดสิน เรียกได้ว่าสู้สุดใจขาดดิ้น ซึ่งเกมนี้มีอะไรน่าสนใจบ้างไปดูกันเลยดีกว่า เริ่มต้นที่การจัดทีมกันก่อนเลย เกมนี้ สวิตเซอร์แลนด์ แดนนาฬิกา พลาดโอกาสใช้มิดฟิลด์กัปตันทีมอย่าง กรานิต ชก้า ลงบัญชาเเกมแดนกลาง เนื่องจากติดโทษแบน ซึ่งถือว่าเสียหายหนักเลยทีเดียว เพราะรอบที่ผ่านๆ มา กองกลางจาก อาร์เซน่อล คือกำลังสำคัญของทีมที่คอยปลุกเร้าเพื่อนๆ โดยความหวังหรือแข้งคนสำคัญของทีมในเกมนี้ก็ถูกถ่ายโอนย้ายไปอยู่กับ เซอร์ดาน ชากิรี่, บรีล เอ็มโบโล่, สตีเฟ่น ซูเบอร์ และ ฮาริส เซเฟโรวิช เป็นต้น ขณะที่ทางฝั่งสเปน ที่ดูท่าว่าจะเริ่มคืนฟอร์มเก่งกลับมาแล้ว หลังจากสะดุดปืนฝืดเสมอไป 2 นัดซ้อนใน 2 นัดแรกของรอบแบ่งกลุ่ม ก็ถล่ม สโลวาเกีย 5-0 และ อัด โครเอเชีย ในช่วงต่อเวลา 5-3 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย จนผ่านเข้ามาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ โดยเกมนี้ หลุยส์ เอ็นริเก้ ปรับแค่ตำแหน่งเดียวจากนัดก่อน คือการให้ จอร์ดี้ อัลบา กลับมาประจำการทางฝั่งแบ็กซ้ายอีกครั้ง นอกนั้นเหมือนเดิม กองกลางวาง บุสเกตส์, โกเก้ และ เปดรี้ 3 แนวรุกเป็น ปาโบล ซาราเบีย, เฟร์ราน ตอร์เรส และ อัลบาโร่ โมราต้า เริ่มเกมมาได้แค่ 8 นาที "กระทิงดุ" ที่ดูเหนือกว่า ก็เป็นฝ่ายได้ประตูขึ้นนำตั้งแต่ไก่โห่ จากจังหวะเตะมุมฝั่งขวา โกเก้ เปิดเข้ามาให้ อัลบา ฮาล์ฟวอลเลวย์ บอลพุ่งไปแฉลบ เดนิส ซากาเรีย เปลี่ยนทางหนีมือ ยานน์ ซอมเมอร์ เข้าประตูไป กลายเป็นการทำเข้าประตูตัวเองของ สวิตเซอร์แลนด์ และส่งให้ สเปน ออกนำ 1-0 หลังขึ้นนำ สเปน ก็ยังครองเกมได้ดีกว่า และเกือบหนีห่างเป็น 2-0 ในนาทีที่ 17 โกเก้ ได้ซัดฟรีคิกระยะหวังผล บอลเหินข้ามคานตกลงบนตาข่ายเฉี่ยวไปนิดเดียว จากนั้นสถานการณ์ของ สวิตเซอร์แลนด์ แดนนาฬิกา ก็ยิ่งแย่ลงเมื่อ บรีล เอ็มโบโล่ มีอาการบาดเจ็บเล่นต่อไม่ไหวถูกเปลี่ยนตัวออกไปในนาทีที่ 23 แล้วเป็น รูเบน วาร์กัส ลงมาเล่นแทน นาทีที่ 25 สเปน ก็ยังคงเดินหน้าบุกเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง โกเก้ เปิดเตะมุมเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ได้โขกจ่อๆ ระยะ 8 หลา แต่ก็ยังติดเข้ามือ ยานน์ ซอมเมอร์ ช่วงท้ายครึ่งแรก เเป็น สวิตเซอร์แลนด์ ที่ได้บุกขึ้นมาลืมตาอ้าปากบ้าง แต่ส่วนนึงก็เป็นเพราะ สเปน เองไปผ่อนเกม นาทีที่ 34 ชากิรี่ เปิดเตะมุมเข้ามาให้ มานูเอล อคานยี่ โหม่ง แต่ก็ข้ามคานออกไป เช่นเดียวกับนาทีที่ 39 ชากิรี่ คนเดิมเปิดเตะมุมเข้าหัว ซิลวาน วิดแมร์ แต่ก็โขกออกหลังไปอีกครั้ง จบ 45 นาทีแรก "กระทิงดุ" ออกนำ "แดนนาฬิกา" อยู่ 1-0 เข้าสู่ครึ่งหลัง สเปน มีการเปลี่ยนตัวส่ง ดานี โอโม่ ลงมาเล่นแทน ปาโบล ซาราเบีย และลงมาได้แค่ 2 นาที โอโม่ ก็หาโอกาสทักกทายนายด่านสวิสได้เลย จากจังหวะสวนกลับ เฟร์ราน ตอร์เรส จ่ายให้ โมราต้า วิ่งฉีกหนีมารับบอล ก่อนหยอดเข้ามาในเขตโทษให้ โอโม่ วิ่งมาซัดตามน้ำแต่ ยานน์ ซอมเมอร์ ยังเซฟเอาไว้ได้  เท่านั้นไม่พอนาทีที่ 50 โอโม่ ก็ล็อคหนีตัวประกบก่อนเปิดเข้ามาให้ โกเก้ พุ่งเข้าโขกแต่ยังไม่ตรงกรอบ ถัดมานาทีที่ 56 เป็นโอกาสของ สวิส บ้าง ริคาร์โด้ โรดดิเกวซ เปิดเตะมุมทางด้านซ้ายย้ายเข้ามาในเขตโทษ เดนิส ซากาเรีย ตั้งคอรอโขกบอลเฉี่ยวเสาออกหลังไปนิดเดียว สวิส ทำได้ดีขึ้นและยังคงมาเรื่อยๆ นาทีที่ 64 ก็เกือบได้ประตูตีเสมออีกครั้ง จากจังหวะที่ สตีเว่น ซูเบอร์ เล่นชิ่งวันทูกับ รูเบน วาร์กัส หลุดเข้าไปในเขตโทษ ก่อนที่ ซูเบอร์ จะได้ซัดยัดเสาแรกแต่ อูไน ซิม่อน ยังโชว์เซฟปัดป้องทิ้งไปได้ จนกระทั่งนาทีที่ 68 ความพยายามของ สวิตเซอร์แลนด์ ก็เป็นผลจากจังหวะที่ แนวรับทัพ "กระทิงดุ" สกัดบอลกันไม่ดีไปโดนพวกเดียวกันเอง บอลปลิ้นมาถึง เรโม่ ฟรอยเลอร์ จ่ายต่อให้ เซอร์ดาน ชากิรี่ ปรี่เข้ามายิงผ่านมือ ซิม่อน เข้าประตูไป กลายเป็นประตูตีเสมอ 1-1 ประตู โมเมนตั้มกำลังทำท่าว่าจะย้ายโอนเอนมาเข้าทางฝั่ง สวิส ที่เพิ่งตีเสมอได้สำเร็จ ทว่านาทีที่ 77 ทัพ "นาฬิกา" ก็งานเข้า ต้องเหลือแค่ 10 คน เรโม่ ฟรอยเลอร์ เข้าสไลด์สกัดบอลรุนแรงใส่ เคราร์ด โมเรโน่ กองหน้าตัวสำรอง ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ ผู้ตัดสินไม่รอช้าควักใบแดงไล่ออกทันที ช่วงเวลาที่เหลืออีก 10 กว่านาที สเปน ที่ผู้เล่นมากกว่าพยายามโหมบุกเข้าใส่หวังจะจบให้ได้ภายใน 90 นาที ไม่อยากจะยืดเยื้อ นาทีที่ 79 โกเก้ เปิดฟรีคิกให้ โมเรโน่ โขกแต่ก็ออกหลัง นาทีที่ 84 เปดรี้ จ่ายบอลเข้าเขตโทษ โมเรโน่ ได้เอียงตัวยิงแต่บอลยังเลี้ยวเข้ามือของ ยานน์ ซอมเมอร์ ที่เกมนี้โชว์เซฟไปหลายทีรับไว้ได้ จนกระทั่งจบ 90 นาที สวิส ยันอยู่เสมอกับ สเปน ไป 1-1 ประตู ต้องต่อเวลาพิเศษหาผู้ชนะอีก 30 นาที ช่วงต่อเวลาพิเศษนี่แหละ ถือเป็นช่วงมหกรรมยำใหญ่ของ สเปน เพราะบุกแหลกอยู่แทบจะฝ่ายเดียว นาทีที่ 92 อัลบา เปิดบอลมาหน้าประตู โมเรโน่ คนเดิมซัดเต็มข้อแต่บอลหลุดกรอบออกไป นาทีที่ 96 คราวนี้ อัลบา ได้โอกาสยิงไกล แต่ยังไปติดเซฟของ ซอมเมอร์ เหมือนเดิม สเปน ยังคงบุกอย่างต่อเนื่องนาทีที่ 99 มาร์กอส ญอเรนเต้ ได้ยิงแต่ก็ยังติดบล็อกออกหลัง นาทีที่ 101 "กระทิงดุ" ก็ยังชวดได้ประตูออกนำอีกครั้ง จากจังหวะที่ เซร์คิโอ บุสเกตส์ วางบอลยาวมาให้ มิเกล โอยาร์ซาบัล แต่งบอลขลุกขลิกต่อให้ เคราร์ด โมเรโน่ ดีดบอลไปติดเซฟของ ยานน์ ซอมเมอร์ อีกครั้ง ต่อเนื่องเลยในนาทีที่ 103 มิเกล โอยาร์ซาบัล ได้โอกาสยิงเองบ้าง คราวนี้บอลก็ยังไปติดเซฟของ ยานน์ ซอมเมอร์ อีกอยู่ดี นาทีที่ 111 สเปน เร่งเครื่องมาอีกชุด อัลบา จ่ายตัดให้ โอโม่ ยิงในเขตโทษแต่ก็ยังตรงตัว ซอมเมอร์ นาที 116 สเปน ได้เตะมุม โอโม่ เปิดมาให้ บุสเกตส์ ได้โหม่งแต่ก็เหมือนเดิม ไม่ผ่านมือ ซอมเมอร์ ที่นัดนี้เซฟอุตลุดจริงๆ ปิดท้ายในนาทีที่ 118 สเปน หวังเผด็จศึกให้ได้เพราะรู้ว่าถ้าไปถึงฏีกายิงจุดโทษอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ คราวนี้เป็น โมเรโน่ ที่เก็บบอลหน้าเขตโทษก่อนเลี้ยงลุยมายิงตรงกรอบ แต่ก็ยังติดเซฟ ซอมเมอร์ เหมือนเดิม จบ 120 นาที ยิงเพิ่มกันไม่ได้ ต้องดวลจุดโทษตัดสินหาผู้ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ เข้าสู่การดวลเป้าตัดสิน สเปน ได้ยิงก่อน และ บุสเกตส์ ก็เปิดหัวไม่สวยยิงไม่เข้า ต่างจาก สวิส ที่ กาฟราโนวิช ทำได้ดีซัดเข้าไป สวิส เหมือนจะได้เปรียบ อีก 3 คนถัดมา สวิส ดันยิงไม่เข้าทั้งหมดเลย ส่วน สเปน ก็มี โรดรี้ ที่พลาด แต่ โอโม่ กับ โมเรโน่ ยิงเข้า และปิดท้ายด้วย มิเกล โอยาร์ซาบัล ซัดเข้าไปทำให้ "กระทิงดุ" เอาชนะจุดโทษ สวิตเซอร์แลนด์ ไปได้ 3-1 ประตู ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศไปดวลกับ อิตาลี่ ที่เอาชนะเบอร์ 1 ของโลกอย่าง เบลเยี่ยม มาได้ 2-1 ประตู 

แม้ว่าจะมาแบบบินต่ำกว่าเรดาร์ แต่ตอนนี้สเปน ก็เข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศแล้ว ยังไงเราก็คงไม่มีทางมองข้ามพวกเขาได้อย่างแน่นอน 

 

ชิน ชินพัฒน์

logoline