logo-heading

และแล้วเราก็ได้คู่ชิงชนะเลิศ ยูโร 2020 เป็นที่เรียบร้อย เมื่อ อังกฤษ ทำภารกิจสำเร็จ ฝ่าด่านเฉือนเอาชนะ เดนมาร์ก ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ไปแบบตื่นเต้น 2-1 เข้าไปชิงโทรฟี่พบกับ อิตาลี .. แต่กระนั้นกว่าที่ "สิงโตคำราม" จะผ่านเข้าไปได้ บอกเลยว่า เลือดตาแทบกระเด็น เพราะเกือบไม่ไปตามนัดเหมือนกัน โดยเกมนี้มีจังหวะไหนที่ต้องพูดถึงกันบ้าง ไปติดตามกันเลยครับ

- เดนมาร์ก มาดีเกินคาด พร้อมทำช็อคใส่ อังกฤษ

ถึงแม้ อังกฤษ จะมีจังหวะหวาดเสียวตั้งแต่ช่วงต้นเกม ที่ แฮร์รี่ เคน เปิดเข้ามาในกรอบเขตโทษจะให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง วิ่งเข้ามาชาร์ต แต่บอลมันแรงไป หลังจากนั้นกลายเป็น เดนมาร์ก ที่บุกเข้าใส่บ้าง เล่นเอา สิงโตคำราม ออกอาการเป๋เหมือนกัน โดยเฉพาะ จอร์แดน พิคฟอร์ด ซึ่งเซฟลูกยิง ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก และ พยายามเล่นเร็ว แต่ดันไหลบอลไปเข้าตีน มาร์ติน เบรธเวท กองหน้า โคนม ดื้อๆ แต่ยังดีที่ เบรธเวท ยิงไปแฉลบกองหลัง ไม่เป็นประตู หลังจากนั้นยังเป็น เดนมาร์ก ที่ทำได้ดีกว่า อังกฤษ จริงๆ และ มีโอกาสหลายครั้งที่จะทำเซอร์ไพรส์ยิงขึ้นนำ จนกระทั่งมาถึงนาที 30 ของเกม นักเตะ อังกฤษ ไปทำฟาวล์ใส่ผู้เล่น เดนมาร์ก เสียฟรีคิกระยะ 25-26 หลา เรียกว่าระยะทำการ โดย มิคเคล ดัมส์การ์ด หยิบบอลมาตั้ง ก่อนจะซัดบอลพุ่งข้ามกำแพง ฮุบลงมาเสียบใต้คาน ชนิดที่ พิคฟอร์ด พุ่งสุดตัวแล้ว ยังปัดได้แค่ปลายนิ้ว กลายเป็นประตูสุดสวยทำให้ เดนมาร์ก ขึ้นนำ อังกฤษ 1-0 

- อังกฤษ เกือบได้ประตูตีเสมอ

อังกฤษ เหมือนถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ เพราะหลังจากตามหลัง 0-1 พวกเขาก็บุกเป็นพายุ เพื่อเร่งประตูตีเสมอให้ได้ จนกระทั่งมาถึงจังหวะที่ แฮร์รี่ เคน ถ่างตัวออกมาด้านขวา ก่อนจะปาดถวายพานมาให้กับ สเตอร์ลิ่ง ที่วิ่งเบียดชนะกองหลัง เดนมาร์ก ได้ยิงเต็มๆกลางประตู แต่ต้องชม แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ที่ยืนดักรอ สามารถเซฟลูกนี้ไว้ได้ 

- สิงโตคำราม ตีเสมอสำเร็จ

ให้หลังเพียงแค่ สเตอร์ลิ่ง พลาดประตูตีเสมอแบบเหลือเชื่อ ไม่นานนัก คราวนี้สาวก สิงโตคำราม ได้เฮกันลั่น เมื่อเป็นจังหวะที่ แฮร์รี่ เคน จ่ายบอลตัดแนวรับ ไปให้กับ บูกาโย่ ซาก้า หลุดกับดักล้ำหน้า เข้าไปในกรอบเขตโทษฝั่งขวา ก่อนจะปาดเข้ามาตรงกลาง เพราะมี สเตอร์ลิ่ง ผายมือขอบอลอยู่  แต่กลายเป็นว่า ซิมง เคียร์ กัปตันทีม เดนมาร์ก พยายามวิ่งมาตัดหน้า เพื่อสกัดบอลทิ้ง แต่ลูกนี้เหลี่ยมมันใกล้ประตูมาก ทำให้จังหวะสไลด์ตัวมาดัก กลายเป็นทำเข้าประตูตัวเอง ส่งผลให้ อังกฤษ ตีคืนเป็น 1-1 โมเมนตั้มกลับมาเท่ากันอีกครั้ง และเป็นการยิงตัวเองครั้งที่ 11 ในศึก ยูโร ครั้งนี้

- แคสเปอร์ อย่างเซฟ อังกฤษ ยังไม่ขึ้น

อังกฤษ โหมกระหน่ำเข้าใส่ เดนมาร์ก หวังยิงประตูแซงนำให้ได้ และ พวกเขามีโอกาสแบบสุดๆ โดยเป็นจังหวะฟรีคิก เมสัน เมาท์ ครอสเข้ามาในกรอบเขตโทษ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ขึ้นกระโดดเอาชนะกองหลัง โคนม ได้แล้ว โขกสะบัดตามสูตร บอลกำลังพุ่งเสียบเสา แต่กลายเป็นว่า แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล โชว์ซูเปอร์เซฟ ขยับมาบินปัดมือเดียว ป้องกันเอาไว้อย่างเหลือเชื่อ ช่วยให้ เดนมาร์ก ยังรักษาสกอร์เสมอกับ อังกฤษ อยู่ 1-1

- ลูกเปิดของ เมาท์ เกือบส้มหล่น แต่ยังผ่าน แคสเปอร์ ไม่ได้

หลังจากที่ อังกฤษ ยังไม่สามารถทำประตูขึ้นนำได้ พวกเขาก็เดินเครื่องไม่หยุดหย่อน และ เกือบจะมีโชคได้ลูกที่ 2 แล้ว จากจังหวะที่ เมสัน เมาท์ ได้บอลอยู่ด้านขวา พยายามจะเปิดเข้าไปลุ้นในกรอบเขตโทษ แต่บอลผิดเหลี่ยม ซึ่งเกือบกลายเป็นดี เมื่อกำลังย้อยเสียบใต้คาน อย่างไรก็ตามยังคงเป็น แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ที่ถอยตัว สปริงท์ข้อเท้า กระโดดตบทิ้งออกหลังไปได้ 

- อังกฤษ บุกกดดันหนัก แต่ก็ยังทำไม่ได้

ช่วงเวลาปกติ 90 นาที ท้ายเกม ก็ยังเป็นขุนพล "ทรี ไลอ้อนส์" ที่บุกเข้าใส่ เดนมาร์ก เพื่อหวังทำประตูชัยให้ได้ แต่กระนั้นก็ยิงนกตกปลาไปหมด โดยมีช็อตที่ แฮร์รี่ เคน พยายามจะฟ้องเอาจุดโทษ หลังโดน คริสเตียน นอร์การ์ด เข้ามาแท็คเกิ้ลล้มลงไป แต่ผู้ตัดสินยืนอยู่ใกล้เหตุการณ์ และ ทำมือไม่ให้จุดโทษ ก่อนจะไปเช็ค VAR เพื่อยืนยันอีกครั้งว่า จังหวะนี้ไม่วสมควรได้จริงๆ 

- เริ่มช่วงต่อเวลาพิเศษ อังกฤษ เกือบขึ้นนำ

ต่อเวลาพิเศษ เริ่มมาแค่ไม่กี่นาที อังกฤษ เกือบได้ประตูขึ้นนำ เมื่อเป็นจังหวะที่ แฮร์รี่ เคน เบียดเอาชนะ ยานนิค เวสเตอร์การ์ด ได้สำเร็จ หลุดเข้ามาในกรอบเขตโทษ แต่ด้วยที่มุมมันบีบ ไม่มีช่องให้ซัดมากนัก ทำให้หัวหอก ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เลือกจะยิงสวนตัว แต่บอกเลยว่าวันนี้ถ้าไม่คมจริง ซัดผ่าน แคสเปอร์ ไม่ได้ และ แน่นอนช็อตนี้ ก็เป็น แคสเปอร์ ล้มตัวไปปัดไว้ได้ ยิงเท่าไหร่ ก็ยังยิงไม่เข้าจริงๆ

- เข้าทำ 3 ครั้งซ้อน ก็ยังไม่ได้

เหนื่อยจนท้อ ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานเท่าไหร่ กว่าที่ อังกฤษ จะได้ประตูสักที ซึ่งประมาณนาที 98 ขุนพล "สิงโตคำราม" ได้ลูกเตะมุมเปิดไปเข้าหัว จอห์น สโตนส์ บอลไม่ตรงกรอบ แต่บอลยังเข้าทาง ทำชิ่งกันจนมาถึง แจ็ค กรีลิช ครองบอลตรงมุมกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย เขาเห็นจังหวะนี้ไม่มีใครเข้าประกบ จึงลองซัดไกล บอลพุ่งและส่าย แต่มันก็ยังตรงตัว แคสเปอร์ ทุบทิ้งออกมาได้ ยังไม่จบครับ เพราะลูกซัดของ กรีลิช ที่โดน แคสเปอร์ เซฟออกมานั้น ยังเป็นนักเตะ อังกฤษ ที่เก็บบอลมาเล่นจังหวะต่อเนื่อง คราวนี้ กรีลิช ไม่ลองยิงไกลแล้ว เขาเลือกส่งให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ได้เลี้ยงตัดเข้าใน และ ล็อคหนีตัวประกบ 1 ที แต่จังหวะยิงเอาไป 2 เต็มสิบ เพราะซัดเหินข้ามคาน ไม่ได้ลุ้น ถ้ามีนกบินอยู่ คงตายไป 3 ตัว

- แฟน อังกฤษ เฮลั่น ผู้ตัดสินให้จุดโทษ

ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จ อยู่ที่นั่น เพราะการเป็นพ่อเลี้ยงของ สเตอร์ลิ่ง ก็มาสัมฤทธิ์ผลเสียที เมื่อเขาลองกระชากฝ่าแนวรับ เดนมาร์ก ทางกาบขวา เลี้ยงมาจนสุดเส้นหลัง โยอาคิ​ม เมห์เล่ แหย่ขามาสกัด ทำเอา สเตอร์ลิ่ง ล้มลง ผู้ตัดสินยืนจ้องเหตุการณ์ ก่อนจะเป่าจุดโทษให้กับ อังกฤษ ทันที จากภาพช้าจังหวะนี้ อาจจะไม่ได้โดนรุนแรงมากนัก และ อาจค้านสายตาแฟนบอล เดนมาร์ก แต่ผู้ตัดสินก็ย้อนดู VAR พร้อมยืนยันคำเดิม ให้จุดโทษกับ ทีมชาติอังกฤษ ก่อนจะเป็น แฮร์รี่ เคน รับหน้าที่สังหาร เชื่อไหมครับว่า แคสเปอร์ ยังโคตรของโคตรเหนียว เพราะพุ่งถูกทาง สามารถเซฟลูกจุดโทษของ แฮร์รี่ เคน ที่ยิงไปขวามือตัวเองไว้ได้ แต่โชคร้ายบอลมันทะลักออกมาตรงหน้า ทำให้ แฮร์รี่ เคน วิ่งไปตามซ้ำจ่อๆ ซัดให้ อังกฤษ แซงขึ้นนำ 2-1 ทำเอาสนามเวมบลีย์ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เพราะโอกาสเข้ารอบสูงมาก

- เดนมาร์ก เต็มที่แล้ว แต่ฮึดไม่ไหว

ด้วยความที่นักเตะ เดนมาร์ก วิ่งกันตลอด 120 นาที ต่อให้มีการเปลี่ยนสำรองตามโควต้าแล้ว แต่กระนั้นหลังจากที่ตกเป็นฝ่ายตามหลัง อังกฤษ พวกเขามีช่วงฮึดที่พยายามจะทำประตูตีเสมอให้ได้ และ โอกาสดีที่สุดคงเป็น มาร์ติน เบรธเวท ได้ยิงหนีตัวประกบไปแล้ว แต่ก็เป็น จอร์แดน พิคฟอร์ด โชว์เซฟบ้าง ช่วงท้ายเกม อังกฤษ ไม่เร่งอะไรมากแล้ว เน้นครองบอลเผาเวลาให้มันหมดไปมากกว่า ส่วนนักเตะ เดนมาร์ก ก็แทบไม่มีแรงเพรสซิ่งวิ่งไล่ บางคนตะคริวถามหาด้วยซ้ำ และ นั่นจึงเป็นช่องว่างให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง โชว์พลังใบ วิ่งไม่มีหมด ก่อนวิ่งแซงคู่แข่ง หลุดเข้าไปยิงในกรอบเขตโทษ แต่มุมมันบีบ จึงซัดไปติดเซฟ แคสเปอร์ เหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม แม้ อังกฤษ จะทำประตูเพิ่มไม่ได้ แต่พวกเขาก็รักษาสกอร์ สามารถเอาชนะ เดนมาร์ก ไปได้ 2-1 ผ่านเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูโร ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เจอกับ ทีมชาติอิตาลี ตามความคาดหมาย ฉะนั้นคืนวันอาทิตย์นี้ เดี๋ยวมารอดูกันว่า สิงโตคำราม จะได้แชมป์ It's coming home หรือ จะกลับไปที่ โรม แห่งทัพ "อัซซูรี่" !

ฮาย ฮาวดี้-

logoline