logo-heading

เป็นคู่ชิงชนะเลิศในศึกยูโร 2020 ที่สนุกตื่นเต้นบีบหัวใจและ ดราม่าเหลือเกิน สำหรับทีมชาติอังกฤษ ปะทะ ทีมชาติอิตาลี 

ความรู้สึกครบรส ยิงนำกันตั้งแต่ไก่โห่ จนมามีลูกตีเสมอ ยืดเยื้อไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษและฎีกาจุดโทษ ไม่อยากจะฝอยอะไรให้มันยืดยาวนัก เอาเป็นว่าไปติดตามประเด็นมันส์ๆ ที่เกิดขึ้นในเกมนี้กันเลยครับ

- อังกฤษ นำไวตั้งแต่เริ่ม

สนามเวมบลีย์ แทบแตกตั้งแต่ต้นเกม เพราะว่าทีมชาติอังกฤษ ทำประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็ว ชนิดช็อคแฟนบอล อิตาลี เริ่มแรกเดิมที เป็นความผิดพลาดของ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ด้วยซ้ำ เพราะเขาคืนหลังพลาด จนเสียลูกเตะมุมง่ายๆตั้งแต่นาทีแรก กระนั้นกลายเป็นว่า อังกฤษ สามารถรับมือลูกเตะมุมของ อิตาลี ได้ดี ก่อนจะสวนกลับเร็ว จาก แฮร์รี่ เคน ถ่ายออกด้านขวา ให้กับ คีแรน ทริปเปียร์ เติมกระชากเข้าสู่เขตอันตราย ก่อนจะดึงจังหวะรอเพื่อน และ บรรจงเปิดมาเสาไกล ให้กับ ลุค ชอว์ แบ็กซ้าย วิ่งมาซัดแบบไม่ต้องจับบอลพุ่งเสียบเสาเข้าไปอย่างเฉียบขาด ให้ อังกฤษ ขึ้นนำ 1-0 โดยใช้เวลาเพียงแค่ 1 นาที 57 วินาที เท่านั้น เป็นประตูยิงเร็วสุด ในประวัติศาสตร์นัดชิงชนะเลิศ ยูโร 

- อิตาลี เจาะไม่เข้าเลย

ผ่านมา 25 นาทีแรกของเกม ต้องบอกว่า อังกฤษ ทำเกมได้ดีกว่า ได้ครองบอลบุกเข้าทำ ผิดกับ อิตาลี ที่แทบไม่มีโอกาสได้ยิง แบบที่ จอร์แดน พิคฟอร์ด ต้องออกแรงเลย แค่การต่อบอลไปข้างหน้า ก็ทำได้ยากเหลือเกิน จะมีให้ได้ลุ้นเบาๆก็คงจะเป็นลูกฟรีคิกเยื้องทางขวา ระยะประมาณ 24-25 หลา แต่ทว่า ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ ก็ปั่นข้ามคาน และก็ลูกยิงไกลจากนอกกรอบเขตโทษแต่บอลมันก็บดกลิ้งๆออกหลังไป

- เคียซ่า เกือบซัดตีเสมอ

เมื่อ อิตาลี เล่นตามแท็คติค ไม่สามารถแกะเกมเพรสซิ่งของ อังกฤษ ได้เลย ดังนั้นต้องพึ่งเรื่องของความสามารถเฉพาะตัว ซึ่งคราวนี้เป็นการโชว์ของ เฟเดริโก้ เคียซ่า แนวรุกตัวจี๊ดแห่งทัพ อัซซูรี่ เมื่อเขาได้บอลกลางสนาม และ พริ้วหนี เดแคลน ไรซ์ มิดฟิลด์ตัวรับทีมชาติอังกฤษ ทั้งโดนเตะ ทั้งโดนดึง แต่ก็สลัดหนีมาได้ ก่อนจะลากเข้าระยะทำการตรงก่อนถึงบริเวณหัวกระโหลก จากนั้นลองซัดเต็มเท้า หวังยัดเสาแรก แต่บอลเฉี่ยวออกหลังไปนิดเดียวเท่านั้น เกือบได้ประตูตีเสมอ ช่วงท้ายเกม 45 นาทีแรก เป็น อิตาลี ที่ได้ขึงเกมรุกเข้าใส่ อังกฤษ อยู่ตลอด แต่กระนั้นก็ยังเหมือนเดิม ยังไม่ได้มีจังหวะจะแจ้งให้กับพวกเขามากนัก โดยมีช็อตได้ลุ้น ที่ ดิ ลอเรนโซ่ เปิด บอลจากด้านขวาเข้าไปในกรอบเขตโทษ เป็น ชิโร่ อิมโมบิเล่ ซัดตามน้ำ แต่ก็ไปติดบล็อค จอห์น สโตนส์ ทำให้จบครึ่งแรก อังกฤษ นำอยู่ 1-0

- อังกฤษ ฟ้องเอาจุดโทษ

เริ่มต้นครึ่งหลังมาเพียงแค่ 3 นาที ก็เกือบมีประเด็นดราม่า เมื่อมีจังหวะที่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ได้กระชากเข้าไปในกรอบเขตโทษ พยายามใช้สปีดแหวกหนี เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ และ มีการเบียดกันเล็กน้อย จน สเตอร์ลิ่ง ล้มลงไป นักเตะอังกฤษ พยายามจะฟ้องผู้ตัดสินเพื่อเอาจุดโทษแต่กรรมการก็เฉยไม่ได้ให้ฟาวล์อะไร

- อิตาลี ได้ฟรีคิก ระยะน่าลุ้น

จะเอาจุดโทษก็เอาไป แต่ผู้เล่น อิตาลี ไม่สน โดยพวกเขาเดินหน้าต่อ หวังทำประตูตีเสมอให้ได้ จนกระทั่งมาได้ฟรีเช็คระยะอันตรายบริเวณหัวกระโหลก เรียกว่าเป็นพื้นที่ได้ลุ้นตีเสมอแบบสุดๆ หลังจากเอาบอลมาวางตรงจุดเกิดเหตุการณ์ มี อินซินเญ่ กับ เอแมร์สัน ยืนอยู่ 2 คน สุดท้าย อินซินเญ่ ลองปั่นอีกครั้ง เลือกยิงไปฝั่งที่ จอร์แดน พิคฟอร์ด ยืนดักอยู่ แต่บอลก็หลุดกรอบออกไปแบบไม่ค่อยได้ลุ้นเท่าไหร่ ทิ้งโอกาสหลุดลอยไปอีกครั้ง

- พิคฟอร์ด เซฟช่วยชีวิต อังกฤษ

อิตาลี เดินหน้าบุกแหลก โดยมีการเปลี่ยนผู้เล่น ปรับเปลี่ยนแท็คติค ซึ่งการโยก เคียซ่า มาอยู่ฝั่งซ้าย เรียกว่าปั่นป่วนแนวรับทีมชาติอังกฤษ ได้ดีเหลือเกิน ถึงขั้นที่เขาเกือบจะยิงประตูตีเสมอได้อยู่แล้ว เป็นจังหวะที่ เคียซ่า ได้บอลตรงเส้นกรอบฝั่งขวา ก่อนจะพยามลากตัดเข้าใน หาช่องยิง ซึ่งแนวรับ อังกฤษ ยืนขวางกันเต็มไปหมด แต่ยิงฝ่าบล็อคไปได้ บอลพุ่งจะเสียบเสาไกล ทว่าคนที่ทำได้สวยกว่าคือ จอร์แดน พิคฟอร์ด พุ่งปัดมือเดียว ยังช่วย อังกฤษ ไว้ได้

- ความพยายาม อิตาลี สัมฤทธิ์ผล

หลังจากโหมบุกอย่างหนัก อิตาลี ก็สมหวังเสียที โดยเป็นจังหวะเตะมุมจากด้าน เข้ามาในกรอบเขตโทษ บอลมันคลุกคลิกทะลักมาถึงเสาไกล ตรงนั้น มาร์โก แวร์รัตติ สอดตัวมาโหม่งได้ก่อน เมสัน เมาท์ บอลกำลังจะผ่านเส้น แต่ก็เป็น พิคฟอร์ด ที่ปัดไปชนเสาไว้ได้ แต่คราวนี้บอลมันชนเสากระเด้งมาหน้าปากประตู กลายเป็น โบนุชชี่ จมูกไว มาตามซ้ำจ่อๆ ซัดเข้าไปไม่เหลือ เป็นประตูตีเสมอ 1-1  นาที 67  จากนั้น อิตาลี ทำได้ดีกว่าจริงๆ เรียกว่า โมเมนตั้ม เข้าทางฝั่ง อัซซูรี่ เต็มๆ และ มีจังหวะหวาดเสียวหลายช็อต โดยเฉพาะการวางบอลจากแดนกลาง ข้ามไปแดนหน้า เพียงแค่การจบสกอร์ ยังไม่ตรงกรอบเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อครบ 90 นาที ไม่มีทีมไหนทำสกอร์กันเพิ่มได้ ต้องไปต่อเวลาพิเศษอีกครั้ง

- ต่อเวลาพิเศษ บีบหัวใจ

ด้วยสถานการณ์ที่มันตึงเครียด หากใครเป็นฝ่ายตามหลัง มีโอกาสแพ้ได้เลย ดังนั้นช่วงต่อเวลาพิเศษบีบหัวใจสุดๆ ซึ่งก็มีช็อตหวาดเสียวของทั้ง 2 ทีม โดย อิตาลี มีโอกาสมากกว่า, ได้ทำเกมบุกเยอะกว่า แต่ก็ได้แค่หวาดเสียวเท่านั้น ขณะที่ อังกฤษ ก็พอได้ลุ้นเหมือนกัน แต่ก็ไปติดบล็อคผู้เล่น อัซซูรี่ โดยท้ายเกมช่วงต่อเวลาพิเศษ แกเร็ธ เซาธ์เกต ซึ่งเดินหมากช้าเหลือเกิน ก็ตัดสินใจส่ง มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ จาดอน ซานโช่ ลงมา เพื่อทำหน้าที่ยิงจุดโทษ

- จุดโทษดราม่าพลิกไปพลิกมา

ใครที่มีอาการหัวใจวาย ไม่ควรดูการยิงจุดโทษครั้งนี้ที่สุดเลยครับ เพราะมันครบรสทุกอารมณ์และพลิกไปพลิกมาเหลือเกิน ดวลจุดโทษหนนี้ อิตาลี เป็นฝ่ายยิงก่อน และ โดมินิโก้ เบร์ราดี้ ยิงเข้าไป ส่วน อังกฤษ ส่ง แฮร์รี่ เคน จอมสังหารมือ 1 มาเป็นคนแรก และ ยิงได้อย่างเฉียบคม ตีเสมอเป็น 1-1 คนที่ 2 นี่แหละครับ ดราม่าเกิดทันที เพราะ อิตาลี ส่ง อันเดรีย เบล็อตติ และ ซัดไปติดเซฟ จอร์แดน พิคฟอร์ด ความได้เปรียบมาทางฝั่ง อังกฤษ ทันที ซึ่งทาง แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ สังหารเข้าไปอย่างเฉียบขาด เท่ากับว่า อังกฤษ ขึ้นนำ 2-1 ถ้าซัดเข้าหมดต่อจากนี้ จะเป็นแชมป์ทันที แต่แต่กลับกลายเป็นว่า อังกฤษ กดดันกันเอง และ ความกดดันเหล่านั้นก็ส่งผลกับพวกเขาอย่างหนักหน่วง เพราะคน 3 ของ อิตาลี ยิงเข้าไป ทำให้สกอร์ 2-2 ถ้า มาร์คัส แรชฟอร์ด ยิงเข้าก็จะขึ้นนำอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าไปเอาท่าซอยมาจากไหน ซอยเยอะจนละเอียด สุดท้ายยิงไปชนเสาไม่เข้าประตู และเชื่อมั้ยครับว่า คนต่อมาของ อังกฤษ คือ ซานโช่ ที่ถูกส่งลงสนาม ก็ยิงไปติดเซฟ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า โมเมนตั้มเปลี่ยนทันทีเลยครับ เพราะตอนนั้น อิตาลี แซงนำ 3-2 เนื่องจากคน 4 ก็ไม่พลาด ดังนั้นคนสุดท้ายที่จะยิงปิดจ็อบ คือ จอร์จินโญ่ จอมยิงจุดโทษเบอร์ 1 ที่เคยซัด สเปน มาแล้ว แค่เข้าจะคว้าแชมป์ทันที จังหวะนั้นเชื่อว่าหัวใจของแฟนบอลแต่ละคนคงเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว มันตึงเครียดเหลือเกิน และ ความดราม่าก็บังเกิด เมื่อ จอร์จินโญ่ ยิงไม่เข้า ต่อความหวังให้ อังกฤษ มีลุ้นตีเสมอ หากคนที่ 5 ยิงเข้าไปได้ ไม่รู้ว่าเป็นแท็กติกหรือว่าหัวใจเด็กมันได้ เพราะคน 5 ของ อังกฤษ คือเด็กอายุ 19 ปี .. บูกาโย่ ซาก้า นี่คือนักเตะที่กุมชะตาคนทั้งชาติ แบกรับ ภาระความกดดันอันหนักอึ้ง สุดท้ายเรื่องราวดราม่าซ้อนดราม่า เพราะ ซาก้า ยิงจุดโทษไปทางขวามือตัวเอง ติดเซฟ ดอนนารุมม่า แบบเต็มๆ กลายเป็นว่า อังกฤษ อกหัก เป็นได้แค่รองแชมป์ เพราะ 3 คนหลังยิงไม่เข้าเลย  ส่วน ทีมชาติอิตาลี ก็คว้าแชมป์ได้สำเร็จ เป็นการคว้าแชมป์ยูโร ครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ชาติ และ เป็นการครองแชมป์แบบสมศักดิ์ศรี โดยไม่แพ้ให้กับใครตลอดทัวร์นาเมนต์

ฮาย ฮาวดี้

logoline