logo-heading

โลกนี้ พยายามสอนให้คนเราทัดเทียม ไม่แบ่งชนชั้น ไม่ว่าจะเป็นผิวสีใดก็ตาม .. แต่มันไม่เคยลดหายสักครั้ง และ ยังคงสร้างความเจ็บช้ำ ให้กับผู้ที่ต้องรับฟังอยู่เสมอ

เช่นกันกับโลกของฟุตบอล ก็ยังคงแปดเปื้อนไปด้วยการเหยียดผิว .. ต่อให้จะมีการรณรงค์มาทุกรูปแบบ แม้กระทั่งแคมเปญ "take a knee" ที่นักเตะจะลงไปนั่งคุกเข่าก่อนเกม เพื่อแสดงเชิงสัญลักษณ์ถึงการต่อต้าน ก็มองว่าทำไปไม่ได้ประโยชน์ เหมือนว่า "ทำ แค่ต้อง ทำ" เท่านั้น ไม่สามารถขจัดพวกเหยียดเชื้อชาติออกไปได้เลย

แค่คนผิวขาว เหยียด คนผิวดำ ก็บอบช้ำพอแล้ว แต่กลายเป็นคนว่าคนที่มีผิวสีคล้ำ กลับมาเหยียบย่ำหัวใจกันเอง อย่างเคสล่าสุดเกิดขึ้นกับทีมชาติเยอรมัน ชุดเตรียมทีม ลุย โอลิมปิก เกมส์ 2021 มหกรรมกีฬาโลก ณ ประเทศญี่ปุ่น เริ่มขึ้นในสัปดาห์นี้ ฉะนั้นทีมชาติเยอรมัน จึงได้เตรียมความพร้อมด้วยการไปขออุ่นเครื่องพบกับ ทีมชาติฮอนดูรัส เมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งก็ผ่านเข้าไปเล่น รอบสุดท้ายเช่นเดียวกัน แมตช์ดังกล่าวดำเนินไปตามปกติ ฮอนดูรัส เป็นฝ่ายออกนำไปก่อน ก่อนที่ทัพ "อินทรีเหล็ก" จะมายิงประตูตีเสมอได้จาก เฟลิกซ์ อูดูโอไค ซึ่งเกมเหมือนว่าจะจบลงอย่างสมานฉันท์ 1-1 แต่ทว่าเมื่อเข้าสู่ช่วง 5 นาทีสุดท้ายเกม  นักเตะ เยอรมัน พร้อมใจกัน วอล์คเอาท์ เดินออกจากสนาม .. เนื่องด้วยนักเตะ ฮอนดูรัส เป็นคนพูดจาเหยียดผิวใส่ จอร์แดน โตรูนาริกา กองหลังของทีม เกมนี้ ไม่มีแฟนบอลเข้าชม ฉะนั้น มันมาจากคำพูดเพื่อนมนุษย์ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเกม "กระชับมิตร" และ ที่น่าเศร้าไปกว่านั้น นักเตะฮอนดูรัส ส่วนใหญ่ ก็เป็นแข้งผิวสีเหมือนกับ จอร์แดน โตรูนาริกา เช่นกัน ฉะนั้นน่าจะเข้าใจความรู้สึกกันมากที่สุด โดยเฉพาะประเทศที่มีความหลากหลายเรื่องชาติพันธุ์ อาทิ แนวลาตินผสมอินเดียแดง ที่เรียกกันว่า เมสติโซ่ จริงๆเราไม่รู้หรอกว่า คำพูดในสนามมันเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แต่ถ้า "ไม่มีมูล หมาไม่ขี้" สเตฟาน คุนซ์ กุนซือ อินทรีเหล็ก ชุดเล็กๆ เปิดใจถึงเหตุการณ์นี้ว่า "หากนักเตะคนไหนถูกเหยียดเชื้อชาติ ทางเลือกสำหรับเราคือไม่เล่นต่อสถานเดียว ซึ่ง โตรูนาริกา หัวเสียเป็นอย่างมาก เพราะเขาบอกว่าถูกพูดจาเหยียดเชื้อชาติซ้ำแล้วซ้ำเล่า" เหตุการณ์มันน่าจะคลี่คลาย ถ้าหากอีกฝ่ายหาตัวคนทำผิดมาลงโทษ .. แต่กระนั้นทางสมาคมฟุตบอลฮอนดูรัส ยืนยันว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิด และ นักเตะในทีม ไม่ได้มีการกระทำเหยียดผิวอะไรทำนองนั้นอย่างแน่นอน สรุปเรื่องนี้ มันไม่มีบทลงโทษ แต่มันกลับเป็นรอยแผลในใจ ที่ฝากเอาไว้ให้กับคนที่ต้องทนรับฟัง เหตุการณ์เหยียดผิวเช่นนี้ มันจะไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งสุดท้ายในโลก โดยก่อนหน้านี้ 3 เกลอทีมชาติอังกฤษ อย่าง บูกาโย่ ซาก้า, มาร์คัส แรชฟอร์ด และ จาดอน ซานโช่ ถูกเหยียดผิวอย่างหนัก หลังจากพวกเขาพลาดจุดโทษ ทำให้ทัพ "สิงโตคำราม" พ่ายให้กับ อิตาลี เป็นได้เพียงรองแชมป์ ยูโร 2020 เท่านั้น ทั้ง 3 คน โดนโจมตีอย่างหนัก โดยเฉพาะทางโซเชี่ยล มีเดีย .. ไม่ใช่แค่เหยียดผิว เท่านั้นนะครับ แต่ยังด่าพ่อล่อแม่ พิมพ์กันสนุกมือ แบบไม่สนใจคนที่ต้องรับรู้ความรู้สึกเหล่านี้เลยสักนิด อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เหตุการณ์เหยียดผิว มันจะไม่หมดไปจากโลกนี้ ต่อจะมาจากปากของคนที่รักฟุตบอลด้วยกัน แต่กระนั้นในวันที่หัวใจบอบช้ำ ยังมีอีกหลายคนที่พร้อมอยู่เคียงข้างเสมอ เมื่อคุณมีทุกข์ คุณที่รักคุณจะมาอยู่ข้างๆเสมอ - รูปฝาผนังบนกำแพง แรชฟอร์ด บริเวณถนนคอปสัน ในเมืองแมนเชสเตอร์ ที่สร้างขึ้นเพื่อยกย่องเรื่องช่วยระดมทุนเพื่อหาอาหารกลางวันให้เด็กๆ ถูกมือมืดเขียนข้อความด่าทอและเหยียดด้วยคำรุนแรง แต่หลังจากนั้นก็มีผู้คนมากมาย มาแปะหัวใจ ซัพพอร์ทฮีลหัวใจให้กับนักเตะรายนี้ - บูกาโย่ ซาก้า เด็กหนุ่มผู้โดนด่าไม่แพ้กัน เขาได้รับกำลังใจจากทั่วโลก ไม่ว่าจะรู้กันหรือไม่ก็ตาม แต่มันเป็นการแสดงให้เห็นว่าทุกคนก็พร้อมอยู่เคียงข้าง ในวันที่เขาย่ำแย่เช่นกัน เหมือนอย่างกรณี จอร์แดน โตรูนาริกา แนวรับทีมชาติเยอรมัน ชุด โอลิมปิก เกมส์ เพราะถึงเขาจะเจ็บช้ำจากคำพูด แต่ก็ยังมีเพื่อน มีพี่ และ มีผู้คนอีกมากมาย ที่อยู่เคียงข้างเขาเสมอ .. เหมือนดั่งคำที่ว่า "เพื่อนเจ็บ ฉันก็เจ็บ" ถ้าการเหยียดผิว มันคือมะเร็งร้ายในโลกฟุตบอล กำลังใจและคนเคียงข้าง ก็เหมือนคีโม ที่จะบำบัดให้ชีวิตเรากลับมาดีอีกครั้ง เป็นกำลังใจให้ จอร์แดน โตรูนาริกา และ ผองเพื่อนชาวผิวสีทุกคน

ฮาย ฮาวดี้

logoline