logo-heading

ย้อนอดีตฟุตบอลไทยกับคดีของ "เสี่ยบิ๊ก" อดีตประธานสโมสรเพื่อนตำรวจ ที่ถูกสั่งจำคุก 10 ปี และทำให้สโมสรเพื่อนตำรวจ ต้องถูกสั่งยุบทีมไปด้วย

หลังจากที่เมื่อวานนี้ (13 ส.ค.64) มีข่าวใหญ่ของวงการฟุตบอลที่ทางเจ้าหน้าที่ ปปส ร่วมกับ ดีเอสไอ และตำรวจภาค 5 บุกเข้าตรวจค้นและยึดทรัพย์ขบวนการค้ายาเสพติด และพนันออนไลน์ ซึ่งหนึ่งในผู้ต้องหาคือประธานสโมสรฟุตบอลทีมน้องใหม่ของศึกไทยลีก 2 (T2) ฤดูกาลนี้ ซึ่งล่าสุดทางสมาคมฯ รับลูกเตรียมทีมจะสอบและดำเนินการเรื่องนี้เพิ่มเติม และอาจส่งผลต่อสโมสรฟุตบอลทีมดังกล่าวด้วย โดยคดีนี้ไม่ใช่คดีแรกที่ผู้บริหารทีมฟุตบอลเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ในอดีตก็เคยเกิดขึ้นกับอดีตประธานบริหารสโมสรเพื่อนตำรวจอย่าง "เสี่ยบิ๊ก" นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา ซึ่งถูกศาสลสั่งจับกุมในคดีร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง และบังคับได้ตามกฏหมาย โดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คฯ จนสุดท้ายถูกสั่งจำคุกถึง 10 ปี และสโมสรเพื่อนตำรวจก็ถูกสั่งให้ยุบทีมตามไปด้วย เราจะมาย้อนเรื่องราวนี้กันอีกครั้ง สำหรับ "เสี่ยบิ๊ก" นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา ได้เข้ามาเทคโอเวอร์และเป็นผู้บริหารสโมสรเพื่อนตำรวจเมื่อฤดูกาล 2014 โดยมีการเปลี่ยนชื่อและโลโก้ของทีมจาก "อินทรีเพื่อนตำรวจ" มาใช้ชื่อว่า สโมสรเพื่อนตำรวจ ในการลงแข่งขันฟุตบอลไทยลีก 2014 นอกจากนี้ในช่วงกลางปี "เสี่ยบิ๊ก" ยังได้สร้างความฮือฮาอีกครั้งด้วยการทุ่มเงินเกือบๆ 2 พันล้านบาท ในการซื้อหุ้นสโมสรเร้ดดิ้ง ทีมดังในระดับ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ กว่า 90% มาบริหาร โดยมีการตีข่าวโดยซื้อของอังกฤษอย่างสกาย สปอร์ต ว่า นายสัมฤทธิ์ นั้นสามารถเทคโอเวอร์สโมสรเรดดิ้งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 ก.ค.2557 ด้วยจำนวนเงิน 26 ล้านปอนด์ (ราว 1.4 พันล้านบาทในเวลานั้น) ในช่วงที่ "เสี่ยบิ๊ก" บริหารทีมฟุตบอลสองสโมสร ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่เมืองไทยกับทีมเพื่อนตำรวจ ปรากฏว่าในฤดูกาล 2014 ทีมเข้ามาทำทีมปีแรก พาเพื่อนตำรวจ จบด้วยอันดับที่ 16 ของตาราง โดยในฤดูกาลนั้นมีทั้งหมด 20 ทีม และตกชั้น 5 ทีม ทำให้ทีมเดอะโปลิศ ต้องตกชั้นไปสู่ดิวิชั่นในฤดูกาล 2015 โดยในปี 2015 สามารถพาทีมเพื่อนตำรวจเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาสู่ศึกไทยลีกได้อีกครั้ง ด้วยการคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 แต่ก่อนจะเปิดฤดูกาล สโมสรเพื่อนตำรวจเหมือนโดนฟ้าฝ่า หลังจากมีข่าวว่าประธานสโมสรเข้าไปพัวพันกับร่วมกันปลอมตั๋วเงิน และใช้ตั๋วเงินปลอม ร่วมกันฉ้อโกงร่วมกันออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง และบังคับได้ตามกฎหมาย โดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค จนนำมาซึ่งการถูกจับกุมเมื่อวันที่ 18 ม.ค.2559 ในคดีดังกล่าว ซึ่งก็มีการสู้คดีและยื่นอุทธรณ์กันตามกระบวนการทางกฏหมาย และในเวลาเดียวกันนั้นหลังจากที่ "เสี่ยบิ๊ก" ถูกจับกุมทางด้านสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์ นายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา กว่า 800 ล้านบาท จากคดีทุจริตและยักยอกเงิน ซึ่งหนึ่งในทรัพย์สินดังกล่าว มีสโมสรเพื่อนตำรวจ รวมอยู่ด้วย โดย ปปง. ให้เหตุผลว่า ได้มีการใช้เงินทุจริตมาบริหารทีม และมีคำสั่งให้ตัดสิทธิ์ทีมจากการเข้าร่วมการแข่งขันทุกรายการในฤดูกาล 2016 เรียกง่ายๆ ว่าถูกสั่งยุบทีมนั่นเอง จากนั้น พลตำรวจเอก วรพงษ์ ชิวปรีชา ที่เข้ามาเพื่อจะบริหารทีมเพื่อนตำรวจต่อได้มีการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลให้ทีมสามารถกลับมาทำการแข่งขัน แต่สุดท้ายก็อุทธรณ์ไม่ผ่านเนื่องจากสโมสรเพื่อนตำรวจไม่มีแบงค์การันตี จึงถูกสั่งพักทีมเป็นเวลา 1 ปี ทำให้นักเตะและทีมงานสตาฟฟ์โค้ชเพื่อนตำรวจตอนนั้นต้องหาทีมใหม่ และในปี 2017 ทีมโปลิศ จึงไม่จับมือกับบีอีซี เทโร ศาสน เปลี่ยนชื่อเป็นสโมสรโปลิศ เทโร เอฟซี ในปัจจุบัน ส่วนคดีความของนายสัมฤทธิ์ บัณฑิตกฤษดา นั้น ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 ให้ลงโทษนายสัมฤทธิ์ จำเลย ฐานใช้ตั๋วเงินจำคุกปลอม 10 ปี และริบของกลาง ต่อมานายสัมฤทธิ์ยื่นอุทธรณ์สู้คดี แต่สุดท้ายศาสลอุทธรณ์ก็ยืนโทษจำคุก 10 ปี ตามเดิม โดยมีคำพิพากษาเมื่อวันที่3 เมษายน 2562

ย้อนคดี "เสี่ยบิ๊กเพื่อนตำรวจ" ทำไมสโมสรโปลิศถึงถูกสั่งยุบทีมด้วย

logoline