logo-heading

นับตั้งแต่ โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร เชลซี ก็ก่อรากสร้างฐาน พาทีมประสบความสำเร็จมากมาย จนกลายเป็นยักษ์ใหญ่แห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่มักจะมีชื่อคว้าแชมป์เป็นประจำ

แต่กระนั้น สิงห์บลูส์ ของ เสี่ยหมี ก็มักจะโดนข้อครหาประจำว่า "ใช้เงินสร้างความสำเร็จ" ไม่ว่าจะเป็นการนำนักเตะชื่อดังเข้ามาร่วมทีม หรือ ใช้บริการยอดโค้ชเป็นประจำ เมื่อผลงานไม่ดี ก็ขายออกไป หรือ ไม่ก็ปลดทิ้ง

ตลอด 5 ฤดูกาลที่ผ่านมา ไม่นับช่วงที่ เชลซี โดนแบนห้ามซื้อนักเตะ พวกเขาใช้เงินเสริมทัพไปมากกว่า 200 ล้านยูโร ซึ่งแน่นอนว่าแฟนบอลทีมอื่น ก็จะจำภาพลักษณ์สายเปย์ สิงห์บลูส์ เท่านั้น อาทิ เกปา อาร์ริซาบาลาก้า 80 ล้านยูโร, คริสเตียน พูลิซิช 64 ล้านยูโร หรือ ไค ฮาแวร์ตซ์ 80 ล้านยูโร แต่จริงๆแล้วหลายๆคนไม่ทราบว่าตอนนี้ บอร์ดบริหาร สิงห์บลูส์ สามารถระบายนักเตะทำเงินเข้าสู่ทีมได้อย่างมหาศาล เมื่อนับมาหักลบแล้ว พวกเขาใช้เงินไปไม่มากเท่าไหร่ ไม่ได้โอเว่อร์แบบที่เห็นทุ่มเงินซื้อนักเตะเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะครับ ซึ่งการทำธุรกิจเรื่องซื้อ-ขายเหล่านี้ ก็ต้องให้เครดิตกับ มาริน่า กรานอฟสกาย่า ผู้บริหารสาว ที่อยู่เบื้องหลังดีลดังๆอยู่เสมอ คนที่สนิทที่ เสียหมี ไว้ใจ และ ก็เป็นคนที่นำตัว โธมัส ทูเคิ่ล เข้ามากุมบังเหียน จนประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างที่ทราบกัน เชลซี เป็นหนึ่งในทีมที่มีขุมกำลังใหญ่มาก โดย ทูเคิ่ล เคยบอกช่วงปรีซีซั่นว่า ต้องดูแลนักเตะ 40 กว่าคน เพราะพวกเขามักชอบกว้านซื้อดาวรุ่งมาอยู่กับทีม ก่อนจะปล่อยตัวไปเก็บชั่วโมงบินกับทีมอื่น มันก็อาจจะมีทั้งฟอร์มดีบ้าง ฟอร์มพังบ้าง ปะปนผสมกันไป แต่สิ่งที่ สิงห์บลูส์ ได้ทำมาหลายปีนั้น มันกำลังผลิดอกออกผล เพราะผู้เล่นหลายๆคน ต่อให้ไม่ได้ขึ้นชุดใหญ่ แต่ก็ทำเงินเข้าสโมสรอยู่ไม่น้อย ย้อนกลับไปฤดูกาล 2019-20 ช่วงที่ เชลซี ไม่สามารถซื้อนักเตะใหม่ได้ในช่วงซัมเมอร์ ทำให้ต้องดันดาวรุ่งขึ้นมาแบกทีม อาทิ เมสัน เมาท์ และ แทมมี่ อับราฮัม ขึ้นมา ซึ่ง 2 คนนี้ กลายเป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงบนเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ โดยช่วงหน้าหนาว ก็ซื้อมาแค่ มาเตโอ โควาซิช 45 ล้านยูโร แต่ในส่วนของการขายนักเตะเมื่อซีซั่น 2019-20 เชลซี ทำเงินเข้ากระเป๋าไปมากถึง 157 ล้านยูโร ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการปล่อย เอแด็น อาซาร์ ไปให้กับ เรอัล มาดริด 115 ล้านยูโร รวมถึงการปล่อย โอล่า ไอน่า กับ โทมัส คาลาส ลูกหม้อของทีม ออกไปรวมกันเกือบๆ 20 ล้านยูโร เท่ากับว่าซีซั่นนั้น เชลซี มีตัวเลขบัญชีเป็นสีเขียว อยู่ที่ 112 ล้านยูโร ..  ตัวเลขมหาศาลขนาดนั้น บวกกับเป็น เชลซี ของ เสี่ยหมี มีหรือว่าจะไม่ได้เห็นพวกเขาช็อปแหลก จึงเป็นที่มาของทั้ง ฮาแวร์ตซ์ 80 ล้านยูโร, ติโม แวร์เนอร์ 53 ล้านยูโร, เบน ชิลเวลล์ 50 ล้านยูโร, ฮาคิม ซิเย็ค 40 ล้านยูโร และ เอดูอาร์ เมนดี้ 24 ล้านยูโร ไหนจะได้ตัว ติอาโก้ ซิลวา มาแบบฟรีๆ รวมๆแล้ว ฤดูกาล 2020-21 เชลซี ใช้เงินเสริมนักเตะ 247 ล้านยูโร หากไปหักล้างกับบัญชีตัวเขียวเมื่อซีซั่นก่อน จะอยู่ที่ติดลบ 135 ล้านยูโร แต่กระนั้น สิงห์บลูส์ ก็ระบายนักเตะออกไปเยอะ ได้เงินเข้ากระเป๋าเกือบ 60 ล้านยูโร ทั้งขาย อัลบาโร่ โมราต้า 35 ล้านยูโร หรือ นักเตะที่ใครหลายคนอาจจะลืมไปแล้วว่าอยู่ สิงโตน้ำเงินคราม ก็คือ มาริโอ ปาซาลิช อีก 15 ล้านยูโร ดังนั้น เชลซี มีตัวเลขการซื้อ-ขาย 2 ซีซั่นที่กล่าวมานี้ อยู่ที่ -75 ล้านยูโร ซึ่งมันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของการทำตามกฎ ไฟแนนเชี่ยล แฟร์ เพลย์ เลยครับ และ การทำธุรกิจทุ่มซื้อแบบนี้ มันก็ยังสร้างความสำเร็จ ที่ย้อนกลับมาหาพวกเขาไม่รู้ต่อเท่าไหร่ โดยเฉพาะการเป็นแชมป์ยุโรป และ ล่าสุดคือ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ เรียกว่าทำงานได้อีกมหาศาล เมื่อการสร้างทีมของ เชลซี ที่ต้องใช้เม็ดเงินมาลงทุนกำลังลงตัว ทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งอะไรมากมายในซีซั่นนี้ เพราะที่มีอยู่มันก็เจ๋งอยู่แล้ว เรียกว่าแบ่งเป็น 2 ทีมแข่งกันยังได้ โดยแค่เพิ่มอีกสัก 2-3 คนให้ทุกอย่างลงตัวก็สมบูรณ์แบบ และ นั่นเป็นที่มาของ โรเมลู ลูกากู ดาวยิงร่างยักษ์ทีมชาติเบลเยี่ยม เพราะเป้าหมายของ เชลซี ตอนนี้ คือการกลับมาทวงบัลลังค์แชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ให้ได้ ฉะนั้นพวกเขาจึงเล่นใหญ่ในการซื้อ พี่ตู้ กลับมา ด้วยการทุบสถิติค่าตัวสโมสร สูงถึง 115 ล้านยูโร หรือถ้าเป็นแบบเงินปอนด์ ที่เราคุ้นหู ก็อยู่ที่ 97.5 ล้านปอนด์

ได้ถึง 2 ทีม! จัดทัพ เชลซี จากขุมกำลังที่มีอยู่ในตอนนี้ (คลิกอ่าน)

แน่นอนครับ ราคาแบบนี้ ก็ไม่พ้นเรื่องที่ว่า เชลซี โดนกล่าวหาว่าใช้เงินซื้อความสำเร็จ แต่เชื่อเถอะครับ พวกเขาไม่แคร์อยู่แล้ว เพราะมีเงินก็ต้องใช้ ดีเสียอีกที่มีผู้บริหารทุ่มเทเพื่อฟุตบอลเต็มที่ และ มันเห็นชัดเจนเลยว่า การได้ ลูกากู กลับมา มันยกระดับทีมให้มีความน่ากลัวยิ่งขึ้น สมราคาการเป็นเต็งแชมป์ซีซั่นนี้ ไม่ได้เอาเงินไปตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เท่านั้นยังไม่พอ ก่อนปิดตลาดเดดไลน์ เชลซี ก็จัดหนักมาอีกคน ด้วยการยืมตัว ซาอูล ญีเกซ มิดฟิลด์จาก แอตเลติโก มาดริด โดยเสียค่าเช่าแค่ 5 ล้านยูโร โดยไม่ได้มีออปชั่นบังคับซื้อขาด .. เท่ากับว่า ซัมเมอร์นี้ สิงห์บลูส์ ใช้จ่ายไปราวๆ 120 ยูโร กับการได้นักเตะชื่อดังมาร่วมทีม 2 คน ถึงแม้ เชลซี จะซื้อแค่ 2 ตัว และ เป็นสโมสรที่ติดท็อปโฟร์จ่ายเงินซื้อนักเตะมากสุด ในเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซัมเมอร์นี้ แต่อย่างที่บอกเลยครับ ผู้คนจะจับแค่ภาพลักษณ์ สิงห์บลูส์ ว่าเป็นพวกทุ่มซื้อเพื่อหวังแชมป์ แต่ประทานโทษ เชลซี เวอร์ชั่นใหม่ เปลี่ยนไปแล้ว พวกเขาเป็นทีมที่ทำกำไรจากการตลาดซื้อ-ขาย เป็นรองแค่ ลิเวอร์พูล เท่านั้นนะครับ ทั้งๆที่ เชลซี ใช้เงินมากกว่า หงส์แดง ที่ได้มาแค่ อิบราฮิม่า โกนาเต้ ถึง 3 เท่าตัว เนื่องจากซัมเมอร์นี้ เชลซี ปล่อยนักเตะให้ไปเจอโอกาสดีๆ ได้ลงสนามบ่อยๆ อาทิ แทมมี่ อับราฮัม ซบตัก โรม่า 40 ล้านยูโร, เคิร์ท ซูม่า สู่ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 35 ล้านยูโร, ฟิคาโย่ โทโมริ ที่ไปอยู่กับ เอซี มิลาน ถาวร 29 ล้านยูโร ไหนจะมีดีลเซอร์ไพรส์อย่าง มาร์ค เกฮี เซนเตอร์แบ็กดาวรุ่ง ที่ไป คริสตัล พาเลซ ด้วยค่าตัว 23 ล้านยูโร รวมถึงการได้สตางค์จากการปล่อยตัวพวก โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์, ดาวิเด้ ซัปปาคอสต้า หรือ วิคเตอร์ โมเสส หมายความว่า ค่าตัว ของ ลูกากู และ ค่ายืม ซาอูล นิเกซ เชลซี ไม่ต้องไปกู้คลังสโมสรสักบาท เพราะเมื่อหักลบกับการปล่อยนักเตะไปแล้วนั้น กลายเป็นว่า สิงห์บลูส์ มีกำไรมากถึง 44 ล้านยูโร นับเป็นตัวเลขที่ไม่อยากเชื่อสายตาใช่ไหมล่ะครับ แต่นั่นคือความจริง !! ไม่ว่าใครไหนโลกนี้ ก็ไม่อยากขาดทุนหรอกครับ และ ระดับสโมสรอย่าง เชลซี พวกเขามีวิธีทำการค้าให้ทีมได้กำไรอยู่เสมอ ซึ่งก็ต้องกราบงามทีมๆบอร์ดบริหาร สิงห์บลูส์ ที่ทำให้บัญชีตัวเลขซัมเมอร์นี้เป็นสีเขียว มันก็จะต่อยอดไปถึงช่วงตลาดหน้าหนาวได้ด้วยในการเสริมทัพ อารมณ์เหมือนเผื่อเหลือเผื่อขาด บางที เชลซี ไม่ได้หน้ามืดตามัว เอาแต่ทุ่มเงินซื้อนักเตะอย่างเดียวแล้วนะครับ เพราะต่อจากนี้คงมีเหตุและผล ที่ไตร่ตรองไว้แล้ว และ สิงห์บลูส์ ก็ทำให้หลายๆทีมได้เห็นว่าการบริหารทีมเพื่อทีมจริงๆมันเป็นอย่างไร

ฮาย ฮาวดี้

logoline