logo-heading

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สามารถล้างตา โธมัส ทูเคิ่ล ได้สำเร็จ หลังสามารถพา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกไปเอาชนะ เชลซี ถึงถิ่น 1-0 ด้วยแท็คติคไล่เพรสซิ่งตลอด 90 นาที ทำเอาเจ้าบ้านไปไม่เป็น เรียกว่าเป็น 3 แต้มที่คู่ควรกับ เรือใบสีฟ้า จริงๆ ซึ่งเกมนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างต้องพูดถึง จะมีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้น ไปติดตามกันครับ

- แท็คติค เป๊ป พาทีมเก็บ 3 แต้ม

หลังจากที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องพ่ายแพ้ให้กับ เชลซี ภายใต้การคุมทีม โธมัส ทูเคิ่ล ไปถึง 3 ครั้ง โดยเฉพาะการปราชัย ในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อซีซั่นก่อน ที่ยังคงสร้างความเจ็บช้ำ นั่นทำให้ เป๊ป พยายามคิดค้นวิธีที่จะเอาชนะให้ได้ และในเกมวันนี้ เป๊ป สั่งลูกทีมไล่บีบเพรสซิ่งเป็นพิเศษ วิ่งกดดันใส่ตั้งแต่แดนหน้า ทำเอาแผงหลังของ เชลซี ไปไม่เป็น ต่อบอลขึ้นหน้ากันไม่ได้ จับบอลเมื่อไหร่ นักเตะ เรือใบสีฟ้า ถึงตัวเมื่อนั้น เรียกว่าไม่มีเวลาหายใจ ซึ่งมันทำให้ แมนฯ ซิตี้ แทบจะพับสนามบุกใส่ ปล่อยให้ สิงห์บลูส์ ถอยลงไปตั้งรับโดยปริยาย ซึ่งหนึ่งคนที่วิ่งเป็นม้าดีด ตั้งแต่หน้า ยันไปช่วยเกมรับ แถมยังเชื่อมเกมได้เยี่ยม ต้องปรบมือดังๆให้กับ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ที่โชว์ผลงานแบบโคตรสุดตีนจริงๆ ที่สำคัญการจัดตัวของ เป๊ป เขาไม่ได้คิดมาก เหมือนตอนเจอกันในนัดชิง ยูซีแอล อีกแล้ว เพราะวันนั้นไม่มีหน้าเป้าอาชีพ และ ไม่ส่งมิดฟิลด์ตัวรับลงสนามด้วย แต่เกมนี้ เป๊ป ไม่นำแท็คติคนั้นมาใช้อีกแล้ว โดยกองหน้ามี กาเบรียล เชซุส ส่วน โรดรี้ เป็นตัวปัดกวาด ซึ่งมันส่งผลให้ทุกอย่างดูสมูธมากขึ้น  เพราะจะเห็นเลยว่า เกมรุกก็สร้างสรรค์จนเกือบยิงประตูที่ 2 ได้หลายครั้ง ส่วนเกมรับ ก็แทบไม่ปล่อยให้นักเตะ เชลซี ได้ง้างเท้าเลย โดยเฉพาะฟอร์มการเล่นของ รูเบน ดิอาส เซ็นเตอร์แบ็ก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โชว์ฟอร์มระดับมาสเตอร์พีซจริงๆ กัดแนวรุก เชลซี ไม่ปล่อย นับว่าแท็คติคเกมนี้ เป๊ป ทำได้เหนือกว่า ทูเคิ่ล จริงๆ

- ระบบยืนหน้าคู่ ที่ แฟนสิงห์ อยากเห็น

โธมัส ทูเคิ่ล ลองใช้แผนหน้าคู่จาก 2 เกมที่ผ่านมา ในช่วงประมาณ 20 นาทีสุดท้าย ปรากฏว่า ติโม แวร์เนอร์ กับ โรเมลู ลูกากู ประสานงานกันได้ดี และ เกือบจะเปลี่ยนเป็นสกอร์ได้อีกด้วย ทำให้แฟนบอลเชลซี ส่วนใหญ่อยากเห็นการจับคู่ของทั้งคู่ลงสนามแบบจริงๆจังๆเสียที แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่า ทูเคิ่ล จะทำเซอร์ไพรส์เลือกใช้งาน แวร์เนอร์ มาจับคู่กับ ลูกากู ในเกมซูเปอร์บิ๊กแมตช์นี้เลย แน่นอนว่า แวร์เนอร์ มีศักยภาพอยู่แล้ว แต่กระนั้นความมั่นใจของเขา ยังเป็นเครื่องหมายคำถามว่าลงมาแล้วจะยกระดับทีมได้หรือไม่ เพราะปกติเป็น ไค ฮาแวร์ตซ์ จะได้ลงสนามก่อนเขา อีกทั้งไม่มี เมสัน เมาท์ ตัวสร้างสรรค์เกมด้วย อย่างไรก็ตาม ผลงานกลับไม่ดีแบบที่ทุกคนคาดคิดไว้ อาจเป็นเพราะเกมโต้กลับ ที่หวังเอามาเล่นงาน แมนฯ ซิตี้ กลับใช้ไม่ได้ผล ตลอด 90 นาที ทั้ง แวร์เนอร์ กับ ลูกากู แทบไม่มีโอกาสง้างเท้ายิงประตู ลำพังแค่วางบอลไปที่วาง และ ใช้สปีดของ แวร์เนอร์ ไปเจาะพื้นที่สุดท้าย ก็ยากลำบากเหลือเกิน เนื่องจากโดนแนวรับคู่แข่งเก็บกิน โดยเฉพาะ รูเบน ดิอาส ถ้าจะพูดว่า ระบบหน้าคู่ของ เชลซี ระหว่าง แวร์เนอร์ กับ ลูกากู ล้มเหลว ก็คงไม่ใช่แบบนั้น แค่มันไม่ได้ผลในเกมเจอกับ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ ต้องขอยกนิ้วโป้งให้กับการวางแท็กติกของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ไม่เปิดโอกาสให้ เชลซี ได้โจมตีแบบที่ผ่านๆมา กดดันตั้งแต่แดนบน และ บีบให้เล่นยากเหลือเกิน

- การขาด เมสัน เมาท์ มิดฟิลด์ตัวทำเกมของ เชลซี 

เกมนี้ เชลซี ต้องขาดผู้เล่นตัวสำคัญอย่าง เมสัน เมาท์ ที่มีอาการบาดเจ็บจากเกมกลางสัปดาห์ ทำให้ โธมัส ทูเคิ่ล เลือกใส่ชื่อ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ลงมาเล่นเป็นกองกลาง 3 ตัว ร่วมกับ จอร์จินโญ่ และ มาเตโอ โควาซิช และ ยืนระบบหน้าคู่ ในแผน 3-5-2  เห็นได้ชัดเลยว่า การไม่มี เมาท์ ในแมตนี้ ส่งผลต่อเกมรุกของ เชลซี เหลือเกิน มันดูน่ากลัวน้อยลงไปพอสมควร เพราะ การยืนกองกลาง 3 คน ที่มีสไตล์ไม่แตกต่างกัน เป็นพวกตัดเกม, เชื่อมเกม และ ใช้พละกำลังวิ่งไล่ จึงไม่สามารถจ่ายบอลแบบสร้างสรรค์ เพื่อทะลวงแนวรับ เรือใบสีฟ้า ได้เลย แถมต้องถอยลงมาช่วยหน้าบ้านตัวเอง ดังนั้นในแดนหน้า ลูกากู กับ แวร์เนอร์ ค่อนข้างจะโดดเดี่ยว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ เชลซี เป็นรอง แมนฯ ซิตี้ มากกว่าเดิม ก็คือการเสีย รีซ เจมส์ วิงแบ็กทีมชาติอังกฤษ ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกของเกม เพราะมีอาการบาดเจ็บ ทำให้ประสิทธิภาพทั้งเกมรับ และ เกมรุก ฝั่งขวาขาดหายไป เนื่องจาก รีซ เจมส์ เป็นนักเตะที่มีความแข็งแกร่ง  ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ เจา ดานเซโล่ กล้าจะดันขึ้นสูงเพื่อเพรสซิ่งใส่แนวรับ เชลซี และ เติมเกมบุกแบบไม่ต้องห่วงหลังบ้าน เนื่องจาก เซซาร์ อัซปลิกวยต้า ก็ไม่กล้าลุยเติมเกมมากนัก เท่ากับว่าการขาดทั้ง เมาท์ และ รีซ เจมส์ มันส่งผลต่อเกมรุกของ สิงห์บลูส์ จริงๆในนัดนี้

- ไม่น่าจบแค่ 1-0

หากใครไม่ได้ดูการแข่งขัน อาจจะมองว่าเป็นเกมที่สนุกสูสี ลูกเดียวตัดสินผลการแข่งขัน แต่ต้องบอกตรงนี้เลยว่า แมนฯ ซิตี้ ทำได้ดีกว่า เชลซี จริงๆ พวกเขามีโอกาสปิดบัญชี ดับความหวัง สิงห์บลูส์ มากมายหลายต่อหลายครั้ง แต่ต้องชื่นชม เอดูอาร์ เมนดี้ นายทวาร เชลซี จริงๆครับ ที่เกมนี้โชว์เซฟแล้วเซฟอีก ช่วยชีวิตทีม ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งจังหวะ แจ็ค กรีลิช ที่โยกหลอก อันเดรส คริสเตียนเซ่น ก่อนจะยิงอ้อมไปเสาไกล บอลกำลังพุ่งเสียบเสาสอง แต่ เมนดี้ พุ่งปัดปลายนิ้ว ออกหลังไปได้ ไหนจะมีช็อต เชซุส ได้วิ่งมายิงซ้ำเหน่งๆ แต่เป็น อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ไปช่วยสกัดบนเส้น อีกช็อตสำคัญก็คือ เมนดี้ ยังสามารถเซฟลูกหลุดเดี่ยวของ กรีลิช ไว้ได้เช่นกัน นับว่านายทวารของ เชลซี ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง สามารถเซฟไว้ได้หมด แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ทีมมีแต้ม แค่ทำให้ เชลซี พ่ายคาบ้านต่อ แมนฯ ซิตี้ เพียง 0-1 เท่านั้น

- เรือใบสีฟ้า ทำให้เห็น ใครคือเต็ง 1 ตัวจริง

ย้อนกลับไปเกมที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สะดุดเสมอกับ เซาธ์แฮมป์ตัน 0-0 หลายๆคนเกิดคำถามว่า เป๊ป จะพาลูกทีมป้องกันแชมป์ได้หรือไม่ เนื่องจากการขาดหน้าเป้าอาชีพ ทำให้การจบสกอร์ถูกมองว่าด้อยค่าลงไปเยอะ ขณะที่ เชลซี โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น หลังได้ ลูกากู เข้ามา จนหลายคนมองว่า มีผลงานเหนือกว่า เรือใบสีฟ้า ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ เป๊ป จะเคยพาทีมพ่ายแพ้ แต่ก็ไม่เคยเห็นพวกเขาออกอาการเป๋ หรือ โชว์ฟอร์มออกทะเลแบบกู่ไม่กลับเลยสักนิด เพราะทุกครั้งที่พวกเขาพลาด มักจะกลับมาได้อย่างรวดเร็วเสมอ ซึ่งเรื่องการขาดตัวจบสกอร์ ในเกมนี้ เชซุส ก็แสดงให้เห็นว่า เขาพร้อมขึ้นมาแบกรับตรงนี้ อาจไม่ได้ถึงขั้นเป็น เดอะ แบก แต่ก็จะเป็นองค์ประกอบสำคัญ จากชัยชนะนัดนี้ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มันพิสูจน์ได้แล้วว่า พวกเขายังคงเป็นตัวเต็งเบอร์ 1 ที่พร้อมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาครอบครอง เพราะว่ากันตามตรง การบุกไปชนะ เชลซี ถึงถิ่น ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย แต่ เป๊ป สามารถนำลูกทีมไปเก็บ 3 แต้ม ชนิดที่มีผลงานเหนือกว่าเจ้าบ้านอย่างเห็นได้ชัด

ฮาย ฮาวดี้

logoline