logo-heading

"สิ้นสุดกันที ไม่ว่าชาตินี้ชาติไหน เท่านี้ก็สาแก่ใจ ซาบซึ้งทรวงในอกเรา" หนึ่งในเนื้อเพลงอมตะ น้ำตาจ่าโท ของ สุรพล สมบัติเจริญ ยังสามารถเอามาใช้กับเหตุการณ์ปัจจุบันได้แบบไม่เคอะเขินเลยสักนิดครับ โดยเฉพาะกับสาวก นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด

เนื่องจาก ไมค์ แอชลี่ย์ ได้กลายเป็นอดีตเจ้าของสโมสร สาลิกาดง ป็นที่เรียบร้อย หลังขายไปให้กับ กองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะของ ซาอุดิอาระเบีย (Public Investment Fund) ด้วยเม็ดเงิน 300 ล้านปอนด์ ทิ้งเรื่องฉาวไว้เป็นเบื้องหลัง

เพราะตลอด 14 ปี ที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นหัวเรือใหญ่ นิวคาสเซิ่ล ถูกแฟนบอล สาลิกาดง สาปส่งไม่เว้นวัน หลังจากสร้างวีรกรรมเด็ดๆไว้มากมาย ทั้งประท้วงก็แล้ว ก่อม็อบลุกฮือก็แล้ว กว่าจะยอมขายสโมสร ฉะนั้นลองย้อนกลับไปดูกันว่า เฮียตือ เคยทำเรื่องอะไรไว้บ้าง ทำไมแฟนบอล สาลิกาดง ถึงเกลียด ไมค์ แอชลี่ย์ มากขนาดนี้

1. แต่งตั้งผอ.กีฬา ข้ามหน้าข้ามตาโค้ช

การเข้ามาเทคโอเวอร์ นิวคาสเซิ่ล ของ ไมค์ แอชลี่ย์ เมื่อปี 2007 เขาเหมือนเป็นพระเอกขี่ม้าขาว เข้ามากอบกู้ทีม ที่กำลังกลายเป็นซากปรักหักพัง เนื่องจากยุค เซอร์ จอห์น ฮอลล์ อดีตเจ้าของทีม เจอปัญหาการเงินอย่างมาก เพราะในช่วงยุค 90 ใช้เงินสร้างขุมกำลังอย่างหนัก แต่กลับไม่มีความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน  ตอนที่ ไมค์ แอชลี่ย์ เข้ามาซื้อกิจการ แฟนบอลก็ไม่ค่อยถูกชะตาเท่าไหร่ เพราะสืบทราบมาว่า ไมค์ แอชลี่ย์ เป็นพวกหัวธุรกิจ และ ไม่ค่อยได้ติดตามฟุตบอลมากนัก แต่ก็ย่อมดีกว่าปล่อยให้เจ้าของเก่าบริหารต่อไป ซึ่งสิ่งที่สาวก ทูน อาร์มี่ คาดเอาไว้ ก็เกิดขึ้น เพราะภารกิจที่ แอชลี่ย์ เริ่มทำ ก็ไปขัดขา เควิน คีแกน อดีตกุนซือของทีม ทันที  เนื่องด้วย เฮียตือ ไปแต่งตั้ง เดนนิส ไวส์ เข้ามาทำหน้าที่ ผู้อำนวยการกีฬา ดูแลเรื่องการซื้อ-ขายนักเตะ ทั้งๆที่ไม่มีความรู้เรื่องบริหารมาก่อน โดยคิดแค่ว่า 2 หัว ดีกว่า หัวเดียว แต่กลับลืมคิดไปว่ามันจะเกิดการแทรกแซงขึ้น เพราะ ไวส์ มักขัดแข้งขัดขา คีแกน อยู่เสมอ โดนแทรกแซงอยู่เป็นประจำ สุดท้าย ให้หลังเพียงแค่ 1 เดือน หลังจาก เดนนิส ไวส์ เข้ามา เควิน คีแกน ก็ประกาศลาออก ในช่วงประชุมทีม ก่อนจะทิ้งประโยคเด็ดด่า แอชลี่ย์ กับ ไวส์ ว่า "พวกมาเฟียชั้นต่ำ ถ้าพวกแกยังทำกับ นิวคาสเซิ่ล แบบนี้ ทีมไม่มีวันเจริญหรอก"

2. เอาชื่อสนาม เซนต์ เจมส์ พาร์ค ไปหากิน

เซนต์ เจมส์ พาร์ค ถือเป็นสนามที่เก่าแก่เกือบ 130 ปี เรียกว่าเป็นมนต์ขลัง และ ความภูมิใจอย่างมากสำหรับสาวก "ทูน อาร์มี่" แต่ ไมค์ แอชลี่ย์ กลับไม่ได้เรียนรู้ที่จะพิชิตใจแฟนบอล และ ทำลายความสัมพันธ์ให้มันแย่ลงไปอีก เพราะหลังจากที่ คีแกน ประกาศลาออก ก็มีสาวก สาลิกาดง ก่อแคมเปญขับไล่เขา  ไมค์ แอชลี่ย์ เจอหนักกว่าเดิม เมื่อเขาคิดแต่เรื่องธุรกิจ และ เอาชื่อสนาม เซนต์ เจมส์ พาร์ค ไปหากิน ด้วยการขายให้กับสปอนเซอร์ และ สังเวียนแห่งนี้ ต้องเปลี่ยนชื่อมาเป็น "สปอร์ต ไดเร็คท์ อารีน่า" แต่สปอนเซอร์ที่ว่านั้น ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ก็คือบริษัทอุปกรณ์กีฬาในเครือของ เฮียตือ เอง เมื่อเป็นเช่นนี้ จะเหลือขี้อะไรล่ะครับ แฟนบอล สาลิกาดง ประท้วงกันเละเทะ เกิดเหตุการณ์วุ่นวาย โดยเฉพาะช่วงที่งัดตัวอักษรเซนต์ เจมส์ พาร์ค ถึงขั้นที่แฟนบอลส่วนใหญ่ บอยค็อตต์ไม่ขอเข้าสนาม สุดท้าย แอชลี่ย์ ทนไม่ไหว ต้องเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อสังเวียน เซนต์ เจมส์ พาร์ค ตามเดิม

3. ไม่ให้งบเสริมทีม จน เบนิเตซ ลาออก

ช่วงที่ ไมค์ แอชลี่ย์ เป็นเจ้าของสโมสร นิวคาสเซิ่ล ต้องทุกข์ระทม กระเด็นตกชั้นไปเล่น เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ถึง 2 ครั้ง และ สภาพทีมก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรอีกแล้ว จนกระทั่ง ราฟาเอล เบนิเตซ เข้ามาเป็นผู้กอบกู้ พาทีมเลื่อนชั้นขึ้นสู่ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในฤดูกาล 2017-18 แน่นอนว่าการจะต่อสู้บนลีกสูงสุด อย่างน้อยถ้าตั้งเป้าเอาแค่รอดตกชั้น ก็ต้องมีงบเสริมทีม เพื่อเอาสู้กับอีก 19 สโมสร ที่ต่างก็เสริมแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่กลายเป็นว่า ไมค์ แอชลี่ย์ แทบไม่ให้เงินไปช็อบในตลาดนักเตะ โดยซีซั่นนั้น ราฟา ใช้เงินแบบจำกัดจำเขี่ย ด้วยงบเพียง 45 ล้านปอนด์ เท่านั้น โดยนักเตะที่แพงที่สุดคือ จาค็อบ เมอร์ฟี่ จาก นอริช ซิตี้ สนนราคา 12 ล้านปอนด์ ถึงขั้นต้องร้องเพลง โพลีแคท ออกมาเลยว่า "มันเป็นใคร ?" ต่อมาในยุคสมัยที่ค่าตัวนักเตะพุ่งสูงแบบโอเว่อร์ ชนิดที่ราคา 30-40 ล้านปอนด์ กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว แต่ นิวคาสเซิ่ล เพิ่งใช้เงินทุบสถิติสโมสรซื้อตัว โจลินตัน จาก ฮอฟเฟ่นไฮม์ มาในราคา 35 ล้านปอนด์ เมื่อซัมเมอร์ปี 2019 เป็นการทุบสถิติที่เคยซื้อ ไมเคิ่ล โอเว่น 16 ล้านปอนด์ ในปี 2005 นับว่ายาวนานมากทีเดียว ว่ากันว่า ถ้า นิวคาสเซิ่ล ไม่มี เบนิเตซ ป่านนี้ตกชั้นไปนานแล้ว เพราะขนาดไม่เสริมทีม เอล บอส ยังประคองพาทีมรอดตกชั้นถึง 2 ปี ด้วยนักเตะระดับเกรด C เกรด B โดยฤดูกาล 2018-19 ทีมใช้เงินซื้อผู้เล่นไปแค่ 22.5 ล้านปอนด์ เท่านั้น ทั้งๆที่ปล่อยผู้เล่นออกไปเพียบ แต่ผู้บริหารกลับไม่สนใจใยดีในการเสริมแกร่งเลยสักนิด  ซึ่งวิสัยทัศน์แบบนั้นของ ไมค์ แอชลี่ย์ .. ราฟา ก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน สุดท้ายประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลว่า ความคิดเห็นไม่ตรงกัน โดยแฟนบอลก็ได้แต่ด่าเท่านั้น ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้

4. ความสำเร็จไม่มี

ย้อนกลับไปก่อนถึงยุคที่ ไมค์ แอชลี่ย์ จะเข้ามาเทคโอเวอร์ ต้องบอกว่าขุนพล "สาลิกาดง" มีนักเตะชั้นนำเพียบ อาทิ อลัน เชียเรอร์, ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า, แกรี่ สปีด หรือ ร็อบ ลี และ สถาปนาเป็นสโมสรชั้นนำของ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ย้อนกลับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อมาเป็น พรีเมียร์ลีก ก่อนที่ เฮียตือ จะเข้ามาซื้อกิจการ ..  นิวคาสเซิ่ล สามารถทำอันดับติดท็อปโฟร์ได้ถึง 4 ครั้ง แบ่งเป็นจบด้วยตำแหน่งรองแชมป์ 2 หน ซึ่งเฉียดได้แชมป์ด้วยซ้ำ แต่ไปแผ่วปลายเมื่อซีซั่น 1995-96 พร้อมคว้าโควต้าไปเล่นบนเวทียุโรปได้หลายครั้ง และ ที่สำคัญไม่มีตกชั้นสักครั้งเดียว แต่เมื่อผลัดเปลี่ยนมาเป็นยุค ไมค์ แอชลี่ย์ กลายเป็นว่าแฟนบอลไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม เพราะ นิวคาสเซิ่ล ไม่เคยเฉียดเข้าใกล้แชมป์ลีกเลยสักนิด อันดับสูงสุดที่เคยทำได้ คือจบอันดับ 5 และ ได้ไปเล่น ยูโรปา ลีก เพียงแค่ครั้งเดียว โดยส่วนใหญ่ต้องมาลุ้นหนีตายอยู่ตลอด และ อย่างที่ทราบกัน สาลิกาดง เคยตกชั้นไปเล่น "เดอะ แชมเปี้ยน ชิพ" ถึง 2 หน และ เชื่อไหมครับว่า ตอนที่ นิวคาสเซิ่ล ได้อันดับ 5 ทั้งๆที่ขาย แอนดี้ แคร์โรลล์ ออกไปให้ ลิเวอร์พูล ด้วยเงิน 35 ล้านปอนด์ แต่ซีซั่นต่อมากลับไม่ได้ใช้เงินก้อนนั้นให้เกิดประโยชน์ พร้อมดันทะลึ่งจะมอบสัญญาให้กับ อลัน พาร์ดิว กุนซือยุคนั้น นานถึง 8 ปี ซึ่งมันไม่เกิดประโยชน์ ทำเอาแฟนบอล สาลิกาดง ด่ากันเพียบ

5. ปลดโค้ชเป็นว่าเล่น

การปลด เบนิเตซ ออกจากตำแหน่งกุนซือ ไม่ใช่แค่ครั้งแรกที่สร้างความไม่พอใจให้กับแฟนบอล นิวคาสเซิ่ล นะครับ เพราะก่อนหน้านี้ ไมค์ แอชลี่ย์ มีประวัติปลดโค้ชเป็นว่าเล่น การปลดของเขาส่วนใหญ่ มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาล้วนๆ ตลอด 14 ปี ที่ผ่านมา ไมค์ แอชลี่ย์ มีการปลดโค้ชไปมากกว่า 10 คน หลายคนต้องออกเพราะการบริหาร หรือ บางคนยังไม่ทันได้สร้างทีมก็โดนปลดเสียแล้ว อาทิ เควิน คีแกน ที่ทะเลาะกับ เดนนิส ไวท์ และ ราฟาเอล เบนิเตซ ที่วิสัยทัศน์การทำทีม มันสวนทางกัน ส่วนกุนซือที่โดนปลดออกไปก่อนหน้านี้ หลายคนอยู่ไม่จบครบ 1 ฤดูกาล อย่างเช่น แซม อัลลาร์ไดซ์ คุมทีมได้แค่ 24 นัด ทั้งที่มีประสบการณ์มากมาย หรือพวก สตีฟ แม็คลาเรน 28 เกม และ โจ คินเนียร์ 24 เกม จริงอยู่ที่ผลงานแย่ แต่ไม่เคยได้โอกาสร้างทีม ก็ถูกปลดเสียแล้ว บอกเลยว่าความอดทนต่ำมากจริงๆ จากสถิติการปลดโค้ชเป็นว่าเล่นแล้วนั้น มันก็แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์การทำทีมของ ไมค์ แอชลี่ย์ ด้วย เพราะกุนซือที่เลือกมา ไม่เหมาะกับสไตล์ของทีมสักเท่าไหร่ เพราะแฟนบอลต้องการโค้ชชั้นนำ ไม่ใช่เอามาไว้คอยหนีตกชั้น ซึ่งการได้ เบนิเตซ มาคุมทีม ว่ากันว่าแฟนบอลยกให้เป็นความดีความชอบที่ดีที่สุดในการบริหารงานของ ไมค์ แอชลี่ย์

6. ชอบทำเป็นหูทวนลม 

ช่วงแรกๆ ไมค์ แอชลี่ย์ มีน้อยใจ อยากขายทีม เพราะโดนแฟนบอลด่าอยู่ตลอด แต่ก็ไม่มีใครซื้อ ฉะนั้นเขาจึงได้ดำรงตำแหน่งต่อไป และ พออยู่ไปนานๆ ก็เริ่มปีกกล้าขาแข็งขึ้น คราวนี้ต่อให้โดนสาวก "ทูน อาร์มี่" สาปแช่งมากแค่ไหน ก็ทำเหมือน "หูทวนลม" ถูกด่ามากแค่ไหน ก็ทำเป็นไม่สนใจ  อาทิ เรื่องที่โดนด่าไม่ยอมเสริมทัพ ไม่เอาเงินมาซื้อนักเตะเพื่อให้ทีมแข็งแกร่ง ยามใดที่แฟนบอลสาปส่งเขาเรื่อง "อ้วนจอมขี้งก" ก็จะกวนตีนกลับด้วยเรื่อง “เล่นหุ้น” อยู่เสมอ ด้วยการแซะกองเชียร์ว่า เขารวยเป็นพันล้าน เพราะหุ้นของ  "สปอร์ต ไดเร็คท์”  ดังนั้นจึงไม่มีเช็คเงินสดไปซื้อนักเตะหรอก ถ้าอยากได้แข้งใหม่ ก็ต้องรอให้เขาขายหุ้นได้ก่อน ส่วน อีกหนึ่งประเด็นที่ แอชลี่ย์ ทำมาอยู่ตลอด เรียกว่ากองเชียร์เห็นเมื่อไหร่ ก็หมั่นไส้เมื่อนั้น นั่นคือรับบท ตีนิ่ง .. เพราะไม่ว่า แฟนบอลจะมีการลุกยืนประท้วง, ชูป้ายขับไล่ หรือ แสดงพลังเพื่อให้รู้ว่าสาวก "ทูน อาร์มี่" ไม่ต้องการแกอีกแล้วมากเพียงใด แต่ทว่า ไมค์ แอชลี่ย์ ทำท่าทางเป็น "หูทวนลม" อยู่ตลอด เคยมีช่วงที่พี่แก ชี้ไม้ชี้มือ ล้อเลียนนแฟนบอลในสนาม ว่าจะประท้วงอะไรกัน ทำอะไรแปลกๆ จากนั้นก็นั่งขำแบบสบายใจ ไม่รู้ร้อน รู้หนาวเลยว่า แฟนบอลต้องทุกข์ทนกับวีรกรรมอะไรของเขามาบ้าง นีแหละครับ คือวีรกรรมแสบๆของ ไมค์ แอชลี่ย์ ช่วงดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าของสโมสร จริงๆอาจจะมีเยอะกว่านี้ แต่นี่คือเรื่องเด่นๆ ที่แฟนบอลจำไม่ลืม เรื่องดีก็พอมีให้พูดถึงบ้าง แต่ว่ากันว่าการบริหารทีม นิวคาสเซิ่ล ของ ไมค์ แอชลี่ย์ ที่ดีที่สุด ตลอดระยะเวลา 14 ปี ก็คือการขายสโมสรไปให้กับมหาเศรษฐีชาวซาอุดิอาระเบีย 

ฮาย ฮาวดี้-

logoline