logo-heading

นับถอยหลังสู่การลงชิงชัยในศึกอาเซียน คัพ ของทีมชาติไทย จากวันนี้ไปก็เหลือเวลาอีกประมาณ 50 กว่าวัน ดูเหมือนจะเยอะกับเวลาในการเตรียมทีม แต่จริงๆ แล้วเรามีเวลาแค่ 4-5 วันเท่านั้นก่อนไปแข่งขัน

ทีมชาติไทย ของเราภายใต้การดูแลจัดการของ "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ ในฐานะผู้จัดการทีม ก็เพิ่งจะประกาศแต่งตั้งเฮดโค้ชและทีมงานสตาฟฟ์ไปเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน ซึ่งก็รู้กันอยู่แล้วว่านำโดย มาโน่ โพลกิ้ง ที่จะรับหน้าที่เป็นเฮดโค้ช และมีผู้ช่วยอย่าง จเด็จ มีลาภ และ หนึ่งฤทัย สระทองเวียน เป็นกองหนุน กี่ครั้งแล้วกับคำว่า \"เวลาเตรียมทีมน้อย\" อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย!! เมื่อวานนี้ (11 ต.ค.64) ทีมงานขอบสนามบอลไทยของเราได้สัมภาษณ์กับ "เซอร์เด็จ" ผช.โค้ช ในรายการสดทางเพจขอบสนามบอลไทย ถึงแผนการเตรียมทีมและความพร้อมต่างๆ ก็เลยทำให้เราได้รู้ถึงปัญหาใหญ่ ซึ่งก็เป็นปัญหาที่เรารู้กันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพอได้ฟังจากปากคนที่ต้องทำทีมแล้ว มันเห็นชัดมากขึ้นจริงๆ ว่าปัญหาที่ว่ามันใหญ่แค่ไหน ปัญหานั้นก็คือ เรื่องของระยะเวลาในการเตรียมทีม ซึ่งมันเป็นปัญหาโลกแตกของทีมชาติไทย เรียกได้ว่าทุกยุคทุกสมัย ที่จะต้องเจอก่อนไปแข่งขันรายการสำคัญๆ แก้ยังไงก็แก้ไม่ได้ เหมือนกับปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพนั่นแหละ ต้องอธิบายให้แฟนบอลทั่วไปที่ยังไม่รู้รายละเอียดให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า ฟุตบอลอาเซียน คัพ หรือ ซูซูกิ คัพ 2020 มันถูกเลื่อนมาจากปีที่แล้ว มาจัดในปี 2021 ในช่วงปลายปีนี้ระหว่างวันที่ 5 ธ.ค.-1 ม.ค. ปี 65 โดยครั้งนี้จะไปเล่นกันที่ประเทศเดียวเลยคือสิงคโปร์ ตั้งแต่นัดแรกยันนัดชิงชนะเลิศ ไอ้เรื่องโยกมาเตะปีนี้ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่ามันมาพร้อมๆ กับสถานการณ์โควิด ที่ทำให้ฟุตบอลไทยลีก ฤดูกาล 2021/22 ของเรามันต้องถูกเลื่อนออกมาด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วเราจะมีช่วงเวลาฟีฟ่าเดย์ให้ทีมชาติไทยได้ลงอุ่นเครื่อง และเก็บตัวฝึกซ้อมกันตลอด ทั้งช่วงกันยายน และตุลาคม นั่นก็คือในช่วงนี้แหละ แต่เนื่องจากโปรแกรมลีกที่มันเริ่มเปิดฤดูกาลล่าช้ากว่ากำหนด ทำให้สมาคมฯ และไทยลีก ต้องจำใจตัดโปรแกรมฟีฟ่าเดย์ของทีมชาติไทยในเดือนกันยา และตุลา ออกไปเพื่อยัดโปรแกรมลีกให้มันลงเตะในช่วงกลางสัปดาห์ เพื่อที่จะให้มันจบเลกแรกให้ทันก่อนที่เราจะไปเตะซูซูกิ คัพ ปัญหาก็คือเราไม่มีช่วงฟีฟ่าเดยืในการเตรียมทีมชาติ อันนี้ไม่เป็นไรเพราะไทยก็ตกรอบคัดเลือกบอลโลกไปแล้ว ไม่มีฟีฟ่าเดย์ก็ไม่เสียหาย เพียงแค่คะแนนในอันดับฟีฟ่าก็หยุดอยู่ที่เดิมเท่านั้น แต่ปัญหาคือพอไม่มีฟีฟ่าเดย์แล้วต้องมาอัดโปรแกรมฟุตบอลลีกในประเทศแล้วเนี้ยะ ทำให้มันไปกินเวลาในการเตรียมทีมก่อนลุยซูซูกิ คัพ ด้วย กี่ครั้งแล้วกับคำว่า \"เวลาเตรียมทีมน้อย\" อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย!! ซึ่งจริงๆ เราควรจะจบเลกแรกกันในสิ้นเดือน ต.ค.นี้ เพื่อให้ในเดือน พ.ย.ทีมชาติไทยได้มีเวลาเตรียมทีมเต็มที่ 1 เดือนเต็มๆ ก่อนไปลุยซูซูกิ คัพ แต่ตามโปรแกรมตอนนี้คือเราจะไปจบเลกแรกกันในวันที่ 28-29 พ.ย.64 และยังมีโปรแกรมลีก คัพ ติ่งอยู่ในวันที่ 1 ธ.ค.อีก ซึ่งหลังจบบอลลีกวันที่ 29 พ.ย. วันที่ 30 นักเตะก็คงต้องพัก หรือใครที่เตะจบในวันที่ 28 ได้พักวันที่ 29 มาแล้ว ก็อาจะต้องมาเข้าแคมป์เลยในวันที่ 30 ดังนั้นทีมชาติไทยจะมาเข้าแคมป์พร้อมกันเร็วที่สุดก็คือ 1 ธ.ค.64 ไหนจะต้องเตรียมเดินทางไปสิงคโปร์อีก อย่างน้อยก็ต้องไปก่อนสัก 2-3 วัน ดูจากตรงนี้เร็วที่สุดเราคงจะเดินทางในวันที่ 2 ธ.ค.64 มีเวลาซ้อมที่นู้นอีกครึ่งวันบวกกับวันที่ 3-4 ธ.ค.64 และลงเตะนัดแรกวันที่ 5 ธ.ค.64 อืม!! เห็นแค่นี้ก็ซี้ด!!!!! แล้ว แทบจะไม่มีเวลาได้พักได้อะไรกันเลย ทางออกของทีมชาติไทยในเวลานี้ก็คือ ทาง มาโน่ และ เซอร์เด็จ จะว่างแผนและระบบการเล่นของทีมไว้ แล้วถึงเวลาจะรอดูว่าใครผลงานดีและสภาพร่างกายพร้อมที่สุดมาใส่ในแผนการเล่นและก็ลงแข่งขัน เพราะมันไม่มีเวลามาทำความเข้าใจอะไรกันแล้ว อาจจะต้องเน้นนักเตะจากสโมสรเดียวกันเป็นแกนหลักๆ แล้วก็เอาตัวที่ดีที่สุดของทีมอื่นๆ มาเติม เรียกง่ายๆ ก็คือทำทีมกันแบบลวกๆ เลยละครับ ซึ่งผมไม่อยากจะบอกถึงผลลัพธ์ที่มันจะออกมาเลยในการเตรียมทีมแบบนี้ มีโอกาสสูงเลยนะครับที่เราจะไม่ประสบความสำเร็จ และอาจจะตกรอบแรกได้ แม้ว่าดูชื่อคู่แข่งแล้วเราจะมองว่าเราเหนือกว่าทุกชาติก็ตาม กี่ครั้งแล้วกับคำว่า \"เวลาเตรียมทีมน้อย\" อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย!! ตอนนี้บอลยังไม่แข่งเราก้คิดแบบนี้ละครับ ไม่มีใครคิดว่าเราจะตกรอบ คิดว่าเราเป็นแชมป์ได้ แต่การเตรียมทีมแบบนี้เราเคยมีบทเรียนมาแล้ว ในยุคของ ไบรอัน ร็อบสัน กุนซือชาวอังกฤษ ในศึกซูซูกิ คัพ 2010 คล้ายๆ กับแบบนี้เลย บอลลีกจบปลายเดือนตุลาคมก็จริง แต่ก็ยังมีบอลถ้วยลงเตะจนถึงนัดชิงชนะเลิศคือวันที่ 28 พ.ย.64 ซึ่งเมืองทอง พบกับ ชลบุรี และนักเตะทีมชาติไทยส่วนใหญ่ในตอนนั้นก็มาจากสองสโมสรนี้แหละ ประเด็นก็คือบอลถ้วยเตะนัดชิงจบ 28 พ.ย.53 ทีมชาติไทยมีโปรแกรมลงเตะซูซูกิ คัพ นัดแรกพบลาว วันที่ 1 ธ.ค.53 ไปเล่นที่อินโดฯ มีเวลาเตรียมทีมกันไม่กี่วันแล้วก็เดินทางไป นักเตะจากเมืองทอง กับ ชลบุรี ไม่ต้องสืบเลย กรอบเป็นมันฝรั่งทอดกรอบเลยละครับ ทั้งๆ ที่เราก็ลือกนักเตะแบบหัวกะทิไปเลยทีเดียว มีทั้ง เทิดศักดิ์ ใจมั่น, สุเชาว์ นุชนุ่ม, ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์, ธีรเทพ วิโนทัย, ธีรศิลป์ แดงดา, ศรายุทธ ชัยคำดี คือเรียกว่าจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบไปเลย ใครๆ ก็คิดว่ารอบแรกผ่านสบาย เจอทีมอย่าง ลาว, มาเลเซีย และ เจ้าภาพอินโดฯ กี่ครั้งแล้วกับคำว่า \"เวลาเตรียมทีมน้อย\" อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย!! สุดท้ายก็คือไม่ชนะใครเลย เสมอลาว, มาเลย์ และแพ้อินโดฯ ตกรอบแรกมาตามระเบียบ และเหตุผลของความล้มเหลวนั้นก็คือ "เรามีเวลาเตรียมทีมน้อยเกินไป" ครั้งนี้ผมเลยไม่อยากให้ประวัติศาสตร์มันกลับมาซ้ำรอบอีกครั้ง แม้หลายคนจะคิดว่าเราจะผ่านรอบแรกได้ แต่เรียนตามตรงครับว่าถ้าเตรียมทีมสภาพทีมแม้จะผ่านรอบแรกไปได้ แต่ก็คงจะเข้าไปแบบหวุดหวิด และไม่น่าจะไปถึงคำว่าแชมป์ หลังจากที่คุยกับเซอร์เด็จแล้ว แกก็มีทางออกอยู่ว่า เป็นไปได้ไหมที่สมาคมฯ จะขยับโปรแกรมให้สัก 1 สัปดาห์ คิดแล้วก็แค่ 1 นัดเท่านั้นเอง เพื่อให้ทีมชาติไทยมีเวลาเพิ่มในการเตรียมทีมเป็น 2 สัปดาห์ หรืออย่างน้อยก็ 12-14 วัน มันก็จะทำอะไรได้มากขึ้น ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ยากเลยนะครับ และก็เป็นไปได้ แค่ขยับโปรแกรมลีกนัดเดียว เอาไว้ไปเตะนัดสุดท้ายขยับไปอีกอาทิตย์นึงก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หรือไปหาช่องลงในปีหน้าอีกที

คืออย่าลืมว่าเป้าหมายสูงสุดของเราคือ "ต้องการแชมป์ ต้องการความสำเร็จ" แต่เรามีเวลาให้โค้ชเตรียมทีมแค่ 4-5 วัน มันไม่ประสบความสำเร็จหรอกครับ ถ้าเรามีเป้าหมายเดียวกัน ผมว่าทุกอย่างเป็นไปได้ เราไม่อยากเห็นทีมชาติไทยคว้าแชมป์ซูซูกิ คัพ เหรอครับท่าน

 

กี่ครั้งแล้วกับคำว่า \"เวลาเตรียมทีมน้อย\" อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย!!

 
logoline