logo-heading

ถือว่าคุ้มค่ากับการนอนดึก สำหรับแมตช์ที่ ลิเวอร์พูล บุกไปเฉือนเอาชนะ แอตเลติโก มาดริด 3-2 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เพราะถือเป็นเกมที่ครบรสชาติจริงๆ ทั้งการยิงประตูถล่มทลาย, ดราม่า VAR และ ที่สำคัญคือใบแดงของ อ็องตวน กรีซมันน์

ชัยชนะเกมนี้ ทำให้ ลิเวอร์พูล สร้างขวัญกำลังใจขึ้นเยอะ ก่อนจะไปเจอศึก แดงเดือด แต่เกมรับ มีเรื่องให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องปวดหัวแน่นอน เพราะรั่วได้ใจ ขณะที่ ตราหมี การพ่ายแพ้นัดนี้ ถือว่าสั่นคลอนเหมือนกัน โดยเฉพาะโอกาสเข้ารอบต่อไป เอาเป็นว่ามาดูประเด็นน่าสนใจที่เกิดขึ้นในเกมนี้กันก่อนดีกว่า ว่ามีอะไรให้เสพย์กันบ้าง ติดตามกันเลยครับ

- ซาลาห์ ตอกย้ำความร้อนแรง

ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยหรือไม่ กับบทสัมภาษณ์ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่บอกว่า นับเฉพาะช่วงเวลานี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ คือนักเตะที่ดีที่สุดในโลก แต่กระนั้นจากผลงานของ "คิงโม" ต้องยอมซูฮกแต่โดยดีเลยว่า "เขาคือของจริง" เพราะมันเประจักษ์ให้เห็นแบบนั้น ในเกมที่บุกมาเจอกับ "ตราหมี" นั้น โม ซาลาห์ ได้โชว์ช่ำอีกครั้ง ด้วยการปล่อยของแหวกแนวรับ แอตเลติโก มาดริด ถึง 3 คน ลากหาช่อง จนได้ซัดเป็นประตูขึ้นนำ 1-0 ให้กับ หงส์แดง ถึงแม้มันจะแฉลบ เจฟเฟรย์ ก็องด็อกเบีย เข้าไป แต่มันคือการลากเลื้อยที่ฝ่าด่านแนวรับอีกครั้ง เป็นการตอกย้ำว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ สำคัญต่อเกมรุกของ หงส์แดง มากเพียงใด ซึ่งหลังจากมีการเปลี่ยนเครดิตให้ บังโม ทำประตูแรก เท่ากับว่าเขาได้กลายเป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ลิเวอร์พูล ที่ยิงให้กับทีม 9 นัดติดต่อกัน รวมเป็น 12 ลูก จากการลงเล่นแค่ 11 นัด ไม่ใช่เพียงแค่นั้นนะครับ เพราะการทำ 2 ประตูในนัดนี้ ทำให้ ซาลาห์ ได้สร้างสถิติเป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล ที่ยิงในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มากสุดตลอดกาล รวมทั้งสิ้น 31 ประตู แซงหน้า สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนานกัปตันทีม ที่เคยทำไว้ 30 ลูก ไปเรียบร้อย 

- ดรอป ซัวเรซ เลือกใช้ เฟลิกซ์ ลงคู่ กรีซมันน์

เชื่อว่าตั้งแต่ก่อนออกสตาร์ท และ ช่วงที่ ตราหมี ตามหลัง ลิเวอร์พูล 0-2 คงมีแฟนบอลจำนวนไม่น้อย ที่อาจไม่ค่อยสบอารมณ์ กับการที่ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ เลือกดรอป หลุยส์ ซัวเรซ เป็นตัวสำรอง แทนที่จะส่งลงมาเจอทีมเก่า แต่ดันให้โอกาส เจา เฟลิกซ์ ได้ลงจับคู่ในแดนหน้ากับ อ็องตวน กรีซมันน์ เพราะฟุตบอลเตะกัน 90 นาที อย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินใจ เพราะถึงแม้ แอต. มาดริด จะตามหลัง 2 เม็ด แต่พวกเขาก็กลับมาสู่เกมได้เร็ว ซึ่งคนที่ยิง 2 ประตู ช่วยพาทีมตีเสมอ ก็คือ อ็องตวน กรีซมันน์ ทั้งอยู่ถูกที่ถูกเวลา และ เทคนิคการจบสกอร์อันยอดเยี่ยม ซึ่งลูกตีเสมอ 2-2 เป็นการแตะหลบ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ได้ด้วย ขณะที่ เฟลิกซ์ ก็สร้างความปั่นป่วนแนวรับ หงส์แดง ได้ดีเหลือเกิน โดยเฉพาะลูกตีเสมอ 2-2 ที่แอสซิสต์ให้กับ กรีซมันน์ เพราะเขาเป็นคนฝ่าวงล้อมนักเตะ หงส์แดง ถึง 2-3 คน จนสร้างพื้นที่ช่องว่างให้กับทีม ดังนั้นเมื่อทั้ง 2 คน ประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม เชื่อว่าเสียงวิจารณ์ที่เกิดขึ้น คงสงบลงไป แต่จริงๆแล้วควรต้องให้เครดิตกับทั้งทีม เพราะการตามหลัง 0-2 ตั้งแต่ 13 นาทีแรก แต่สามารถกลับคืนสู่เกมได้อย่างรวดเร็ว ต้องชื่นชมหัวจิตหัวใจของลูกทีม ซิเมโอเน่ จริงๆ

- ไม่มี อลิสซอน หงส์แดง อาจเละตั้งแต่ครึ่งแรก

การนำ 2-0 ของ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ 13 นาทีแรก เหมือนว่า เครื่องจักรสีแดง จะช็อตลงไปดื้อๆ ยิ่งมาโดนตีไข่แตก ทำเอารูปเกมเสียกระบวนไปเลย โดยเฉพาะ นาบี เกอิต้า ที่ต่อให้จะซัดประตูสุดสวยตอนขึ้นนำ 2-0 แต่เขากลับกลายเป็นบ่อน้ำมัน มีส่วนอย่างยิ่งในการก่อความผิดพลาด จนทีมต้องโดนยิงถึง 2 ลูก  ทั้งโดน โตมัส เลอมาร์ หลอกหลังหัก ไหนจะโดน เฟลิกซ์ พาทัวร์ จนเสียประตูตีเสมอ เรียกว่าความมั่นใจของ เกอิต้า ตอนนั้น ขี้หดตดหายหมดแล้ว ประกบใครก็ไม่อยู่ ตัดบอลก็ไม่ได้ เรียกว่า ตราหมี บุกเมื่อไหร่ ถึงหน้าประตูเมื่อนั้น เพราะไม่มีกลาง ลิเวอร์พูล คอยสกรีนอยู่เลย แถมยังเลือกเจาะทางฝั่งแบ็กขวา ที่มี เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ อยู่ด้วย โดย แอต. มาดริด มีโอกาสยิงมากมาย ที่จะทำประตูแซงขึ้นนำ แต่กระนั้นถ้าไม่จ่อไม่อะไรจริงๆ วันนี้ผ่าน อลิสซอน ยากเหลือเกิน เพราะออกมาปิดมุมได้หลายจังหวะ จนทำให้ ลิเวอร์พูล ยังอยู่ในโมเมนตั้ม ที่ไม่ตกเป็นฝ่ายตามหลัง

- ใบแดงของ กรีซมันน์ เปลี่ยนรูปเกม

ใบแดงของ กรีซมันน์ ถือว่าเปลี่ยนรูปเกมไปเลย เพราะว่ากันตามตรง หลังจากตีเสมอ 2-2 .. แอต. มาดริด สร้างสรรค์โอกาสแบบได้น้ำได้เนื้อมากกว่า โดยเฉพาะการใช้ลูกโต้กลับ แต่ดีที่ อลิสซอน ช่วย ลิเวอร์พูล เอาไว้หลายต่อหลายช็อต ซึ่งใบแดงของ กรีซมันน์ รู้ว่าไม่ตั้งใจ แต่หลักฐานภาพช้าชัดเจน เปิดปุ่มสตั๊ด เหยียบไปเต็มหน้า โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ผู้ตัดสิน ไม่ลังเล ไล่ออกทันที พอเหลือ 10 คน หงส์แดง จึงกลับมาครองเกมได้บุกใส่ ตราหมี หลังจากโดนเล่นงานอยู่นานสองนาน ซึ่งถึงแม้ แอต. มาดริด จะมีผู้เล่นน้อยกว่า และ เหมือนว่าแนวรับจะเอาอยู่ แต่กระนั้นก็กลับมาเสียจุดโทษแบบไม่น่าเสีย ทำให้ แอต. มาดริด เป็นฝ่ายไล่ตามอีกครั้ง เพราะ โม ซาลาห์ สังหารไม่พลาด  คราวนี้เจ้าบ้านอาจจะคัมแบ็กสู่เกมอยากกว่าเดิม เพราะคนน้อยกว่า และ เวลาเหลือไม่มาก แต่ก็เกือบจะมีดราม่าช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกม เนื่องจาก ตราหมี มาได้จุดโทษคืน หลังมีช็อตที่ ดิโอโก้ โชต้า ไปสะกิดใส่ โฮเซ่ ฆิมิเนซ ล้มลงในกรอบเขตโทษ ผู้ตัดสินวิ่งมาเป่าฟาวล์ทันที อย่างไรก็ตาม กรรมการผู้ชี้ขาด วิ่งไปดูจอ VAR และ เปลี่ยนคำตัดสิน ไม่ให้จุดโทษกับ แอตเลติโก มาดริด

- การถอนแค้นของ ลิเวอร์พูล

สนาม ว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน่ นับว่าเป็นสังเวียนแห่งความทรงจำของเหล่าสาวก เดอะ ค็อป ทั่วโลก เพราะสนามแห่งนี้ พวกเขาเคยคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครอง เมื่อปี 2019 จากการเอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-0 แต่กระนั้นความทรงจำร้ายๆ ก็เคยเกิดขึ้น โดยเฉพาะการแพ้ให้กับ แอตเลติโก มาดริด เจ้าถิ่น 0-1 ในซีซั่นก่อน ถ้าจะบอกว่า ตราหมี คือของแสลงสำหรับ ลิเวอร์พูล ก็คงไม่ผิดนัก ถึงแม้ทั้งคู่จะเผชิญหน้ากันบ่อยมาก แต่ว่า หงส์แดง ไม่เคยบุกมาเอาชนะ แอต. มาดริด ถึงถิ่นได้เลย ไล่มาตั้งแต่ เสมอกัน 1-1 ในศึก ยูซีแอล ปี 2008, แพ้ 0-1 ในศึก ยูโรปา ลีก ปี 2010 และ เมื่อต้นปี 2020 ลิเวอร์พูล ก็พ่ายไปอีก 0-1 และไปพังคาถิ่นแอนฟิลด์ ด้วยสกอร์ 2-3 ซึ่งเป็นการถูกเขี่ยตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ในฐานะแชมป์เก่าด้วย ดังนั้น ลิเวอร์พูล ก็สุมไฟแค้นพอสมควร ในการเจอกับ แอตเลติโก มาดริด ครั้งนี้ และ สิ่งที่รอคอยก็มาถึง เมื่อ หงส์แดง ล้างแค้น ตราหมี ได้สำเร็จ หลังบุกมาชนะ 3-2 และ ทำให้โอกาสเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ สดใสมากกว่า เพราะเก็บไป 9 แต้มเต็ม จาก 3 นัด ทิ้งอันดับ 2 และ อันดับ 3 ถึง 5 แต้ม ด้วยกัน ขอแค่ชนะนัดหน้า จะการันตีเข้ารอบทันที

- ซิเมโอเน่ ไม่มีน้ำใจนักกีฬา ?

ประเด็นนี้ กำลังเป็นดราม่าเลยล่ะครับ เมื่อแฟนบอล ลิเวอร์พูล ถามถึง “น้ำใจนักกีฬา” ในตัวของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ เพราะหลังสิ้นเสียงนกหวีดหมดเวลา 90 นาที “เอล โชโล่” รีบวิ่งแจ้นเข้าอุโมงค์ห้องแต่งตัวทันที โดยไม่มีการจับมือกับ เจอร์เก้น คล็อปป์ แต่อย่างใด ถึงขั้นที่ เดอะ นอร์มอล วัน ต้องชี้นิ้วบอกผู้ช่วย ตราหมี ว่าทำไมถึงทำแบบนั้น

กีฬา มีแพ้ มีชนะ เป็นธรรมดา ซึ่งเกมนี้ ตราหมี ไม่ได้ด้อยกว่า ลิเวอร์พูล เลยสักนิด ไม่รู้ว่า “เอล โชโล่” อาจจะไม่พอใจคำตัดสิน จากประเด็น VAR หรือเปล่า มิอาจทราบได้ แต่เมื่อเกมจบ ทุกอย่างก็ควรจบตรงนั้น ทว่าเขาเลือกไม่ยอมจับมือกับคู่แข่ง ดังนั้นมันจึงกลายเป็นประเด็นดราม่า เกี่ยวกับ สปิริต และ ความมีน้ำใจนักกีฬา ของ ซิเมโอเน่ ที่ได้แสดงพฤติกรรมความไม่เป็นมืออาชีพออกมา

ฮาย ฮาวดี้-

logoline