logo-heading

โธมัส ทูเคิ่ล กุนซือใหญ่ เชลซี ยังคงสถิติ 100 เปอร์เซ็นต์ เวลาเจอกับ ท็อแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เพราะชนะรวด 6 นัด โดยล่าสุดก็เปิดถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ย้ำแค้น “ไก่เดือยทอง” ได้อีกครั้ง ด้วยสกอร์ 2-0

เกมนี้คงทำให้ เชลซี ดูจะสบายใจมากขึ้น เกี่ยวกับการรักษาพื้นที่ท็อปโฟร์ แต่ทางฝั่ง สเปอร์ส ไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด เพราะทำให้การลุ้นโควต้า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จะยากกว่าเดิม ฉะนั้นเอาเป็นว่าเกมนี้มีอะไรน่าสนใจ ไปติดตามรับชมกันเลยครับ

- การย้ำแค้นของ เชลซี

เชลซี ยังคงประกาศศักดา "London is Blue" ได้เหมือนเดิม เพราะฤดูกาลนี้พวกเขาพบกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ มาแล้วทั้งหมด 4 ครั้ง ก็เป็นทาง สิงห์บลูส์ คว้าชัยได้ทั้งหมด 4 นัด ก่อนหน้านี้คือการปะทะกันในศึก คาราบาว คัพ รอบรองชนะเลิศ โดยเป็น เชลซี เปิดบ้านชนะไป 2-0 และ บุกไปเฉือนถึงถิ่น ไก่เดือยทอง อีก 1-0 รวม 2 นัด ถล่มด้วยสกอร์ 3-0 ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศพบกับ ลิเวอร์พูล ส่วนในเกมลีก เชลซี ก็บุกไปถลุงตูด "ไก่เดือยทอง" แบบยับเยิน 3-0 และ กลับมาเปิดบ้านไล่ตบอีก 2-0 เท่ากับว่านอกจาก เชลซี จะชนะ 4 นัดรวดแล้วนั้น ยังสามารถเก็บคลีนชีตได้ทุกเกมที่พบกับ สเปอร์ส ในซีซั่นนี้ ซึ่งเป็นการเก็บคลีนชีตยุคที่ อันโตนิโอ คอนเต้ กุมบังเหียน ถึง 3 เกม พร้อมกับยัดเยียดความปราชัยให้กับ คอนเต้ เป็นเกมแรก หลังคัมแบ็กคุม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นการย้ำแค้นให้เห็นกันชัดๆว่า ที่ลอนดอนใครใหญ่ ซึ่งครั้งสุดท้ายที่ สเปอร์ส สามารถเอาชนะ เชลซี ในช่วงเวลา 90 นาที ได้นั้น คือเกมเปิดบ้านเฉือนเอาชนะ สิงห์บลูส์ 1-0 เมื่อช่วงเดือนมกราคม 2019 ถึงแม้เป็นเวลาไม่นาน แต่มันก็ผ่านมาแล้ว 11 นัดด้วยกัน

- 3 แต้มของ เชลซี รักษาพื้นที่ท็อปโฟร์

ต้องบอกว่าช่วงหลัง เชลซี ฟอร์มกระท่อนกระแท่นเหลือเกิน โดยเฉพาะในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ พวกเขาไม่ชนะใครมาถึง 4 เกมติดต่อกัน ก่อนจะมาพบกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ทำให้โดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จ่าฝูง ทำแต้มฉีกหนีเป็น 2 หลักไปแล้ว อีกทั้งยังโดนอันดับ 4-7 ไล่ตามจี้หลังแบบไม่ได้ห่างกันมากนัก ซึ่ง สเปอร์ส นี่แหละครับ คือตัวแปรสำคัญที่อาจทำแต้มแซงหน้า เชลซี ได้เลย เพราะก่อนหน้าที่ทั้งคู่จะพบกัน เชลซี มี 44 คะแนน ขณะที่ สเปอร์ส มี 36 แต้ม แต่ สเปอร์ส แข่งน้อยกว่าถึง 4 นัด ดังนั้นถ้าหาก ไก่เดือยทอง เอาชนะ สิงห์บลูส์ และ เก็บเกมในมือได้ทั้งหมด พวกเขาทำคะแนนแซงหน้าทันที ฉะนั้นคู่ระหว่าง เชลซี กับ สเปอร์ส เหมือนเป็นการเดิมพันเลยว่าอย่างน้อย สิงห์บลูส์ จะรักษาพื้นที่ท็อปโฟร์ได้มั้ย หรือว่า สเปอร์ส จะได้กลับมาสู่พื้นที่ 4 อันดับแรกอีกครั้ง ซึ่งหลังจบเกม ก็น่าจะทำให้ลูกทีมของ ทูเคิ่ล หายใจได้โล่งคอมากขึ้น เพราะตอนนี้ฉีกหนี แมนฯ ยูไนเต็ด อันดับ 4 ไป 6 คะแนน ถึงแม้แข่งมากกว่า 1 นัด เป็นการทิ้งทวนได้ดี ก่อนมีคิวไปเตะ เอฟเอ คัพ และ ชิงแชมป์สโมสรโลก หลังจบ ฟีฟ่า เดย์ แต่ทว่าทางฝ่าย ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ พลาดโอกาสทำแต้มขึ้นไปท็อปโฟร์ แซงหน้าทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด, เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล อีกทั้งยังร่วงมาอยู่อันดับ 7 ด้วย อย่างไรก็ตามด้วยการแข่งขันที่น้อยกว่าชาวบ้าน ทำให้ ไก่เดือยทอง ยังมีลุ้นคว้าอันดับ 4 แบบเต็มตัว

- ซิเย็ค ฟอร์มกำลังร้อนแรง

ชั่วโมงนี้ หนึ่งในนักเตะที่ฟอร์มร้อนแรงมากที่สุดคนหนึ่งของ เชลซี ต้องยกให้กับ ฮาคิม ซิเย็ค แนวรุกชาวโมร็อกโก เลยล่ะครับ ซึ่งในเกมที่ เชลซี เอาชนะ สเปอร์ส 2-0 เจ้าตัวคว้าตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แมตช์ จากลูกซัดด้วยซ้ายบอลฮุบเสียบสามเหลี่ยมเข้าไปอย่างสวยงาม เท่ากับว่า ซิเย็ค ทำประตูให้ เชลซี ไปแล้ว 3 ตุง จากการลงเล่น 5 นัด พร้อมกับก้าวขึ้นมายึดตำแหน่งตัวจริงได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากก่อนหน้านี้มีสถานะเป็นตัวสำรองมากกว่า ซึ่งไม่แค่ลูกทำประตูเท่านะครับ เพราะเกมนี้ บังคิม โชว์ฟอร์มได้อย่างดีเยี่ยม วิ่งเป็นม้าดีด เล่นทั้งเกมรุก และ ลงไปช่วยเกมรับด้วย นับว่าเป็นเรื่องดีไปโดยปริยาย ที่ เชลซี ไม่ต้องเสีย ฮาคิม ซิเย็ค ไปในช่วงการแข่งขัน แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ 2021 ที่กำลังฟาดแข้งกันอยู่ เนื่องจาก ซิเย็ค มีปัญหาไม่ค่อยกินเส้นกับโค้ชทีมชาติโมร็อกโก สักเท่าไหร่ ทำให้เขาไม่ถูกเรียกตัวไปรับใช้ชาติ ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง ซิเย็ค กับ ทูเคิ่ล ไม่น่ามีอะไรแล้วล่ะครับ เพราะก่อนหน้านี้เจ้าตัวยิงแล้วไม่แสดงอาการดีใจ แต่เกมนี้ทุกอย่างเป็นปกติ เชื่อว่าฟอร์มแบบนี้คงได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวจริงแบบยาวๆ

- สเปอร์ส ต้องเสริมทัพ

ถึงแม้ว่า สเปอร์ส เพิ่งจะโกงความตาย ด้วยการยิงประตูแซงเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 3-2 ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 2 ลูก แต่มันก็ไม่อาจกลบบาดแผลที่ทิ้งร่องรอยจากการขาด ซน ฮึง-มิน เอาไว้ได้เลย ทำให้ แฮร์รี่ เคน ต้องแบกภาระอันหนักอึ้งในการเล่นเกมรุกอยู่เพียงผู้เดียว สตีเว่น เบิร์กไวน์ ซึ่งเป็นฮีโร่จากเกมนัดพลิกแซง เลสเตอร์ ก็ทำผลงานไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แม้จะมีความพยายามที่ดี ขณะที่ ลูคัส มูร่า ยังพึ่งพาในเกมใหญ่ๆไม่ได้เลย ส่วนมิดฟิลด์ที่จะช่วยซัพพอร์ทกองหน้า อย่าง ปิแอร์ ฮอยเบิร์ก กับ แฮร์รี่ วิงค์ส ยังไม่ได้สร้างสรรค์ผลงานอะไรเลย เพราะทั้งคู่ไม่ได้เด่นเรื่องเกมรุกเป็นหลักอยู่แล้ว แต่จากที่เห็นที่ อันโตนิโอ คอนเต้ ต้องรีบเสริมให้เร็วที่สุดเลย หากต้องการเล่นในระบบ 3-4-3 นั่นก็คือตำแหน่งวิงแบ็ก ซึ่้งฟอร์มของ แม็ตต์ โดเฮอร์ตี้ ชัดเจนเลยว่าความเร็วไม่มี, เปิดบอลแย่ และ มักทำเสียอยู่บ่อยๆ ส่วนทางฝั่งซ้ายพอมาใช้ ไรอัน เซสซิยง นับว่าคลาสยังต้องพัฒนาอีกเยอะ ฉะนั้นถ้าหาก สเปอร์ส อยากกลับไปติดท็อปโฟร์ จำเป็นต้องเสริมขุมกำลังให้มันดี และ น่ากลัวกว่านี้

- ความมั่นใจของ ลูกากู

ยอมรับตรามตรงว่า เกมนี้ให้ความสนใจในฟอร์มของ โรเมลู ลูกากู เป็นพิเศษ เพราะหลังจากเคลียร์ดราม่าเรื่องอยากกลับ อินเตอร์ มิลาน ไปเรียบร้อยแล้วนั้น เจ้าตัวก็ได้กลับมาออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในทีม ทูเคิ่ล อีกครั้ง แต่ฟอร์มการเล่นมันไม่ได้เปรี้ยงปร้างมากนัก นับตั้งแต่ ขึ้นสู่ปี 2022 บิ๊กตู้ ยังไม่สามารถยิงประตูในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้เลย ซึ่งในเกมที่พบกับ สเปอร์ส ก็โดนตามประกบเป็นเงา และ ไม่ใช่แค่คนเดียวนะครับ เพราะมักจะโดนรุม 2 รุม 3 อยู่ตลอด ทำให้ ลูกากู ไม่ได้แสดงพิษสงอะไรมากนัก นอกเสียจาก ชูนิ้วโป้ง ให้กับเพื่อน เป็นสิบๆครั้ง ฟังดูอาจจะตลก แต่มันก็สะท้อนเรื่องของความมั่นใจเหมือนกันครับ เนื่องด้วยที่เขาย้ายมาพร้อมกับค่าตัว 97.5 ล้านปอนด์ คงจะต้องแสดงอภินิหารให้ดีกว่านี้ มีส่วนร่วม หรือ ยิงประตูให้มากเดิม มีหลายช็อตที่เจ้าตัวได้ง้างเท้าทำประตู แต่ก็ยิงออก ไม่ก็ติดเซฟ ซึ่งเวลาทีมชนะมันก็ดีไป แต่หากแพ้ หรือ เสมอ คำถามก็จะย้อนกลับมาที่ตัวเขาอีกครั้งว่า "หรือ ลูกากู จะไม่สามารถแผลงฤทธิ์ใน อังกฤษ เหมือนสมัยกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" อีกแล้ว

ฮาย ฮาวดี้-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline