logo-heading

ถ้าพูดถึง มาริโอ บาโลเตลลี่ แฟนบอลจะนึกถึงวีรกรรมอะไรของเจ้าตัว?

จังหวะหมุนตัวยิงตอกส้นหลุดกรอบในเกมอุ่นเครื่อง, จังหวะถกเสื้อพร้อมวลีสุดคลาสสิคอย่าง Why always me หรือ การทะเลาะกับเสื้อกักขณะฝึกซ้อมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ซึ่งเรื่องทั้งหมดที่กล่าวมากลายเป็นเหตุการณ์ที่แฟนบอลกลับนึกถึงทุกครั้งเมื่อกล่าวถึงชื่อของชายผู้นี้ แทนที่จะเป็นผลงานในสนามที่เขาโลดแล่นมาแล้วกว่า 10 ปีบนพื้นสนามหญ้า ก่อนที่ล่าสุด บาโลเตลลี่ จะสามารถครองหน้าหนึ่งได้อีกครั้ง และแทบทุกสื่อต้องหยิบจับประเด็นนี้มาพูดถึงคือการกลับไปติดทีมชาติอิตาลีอีกครั้งในรอบ 3 ปี ภายหลัง โรแบร์โต้ มันชินี่ จัดการเรียกตัวมาฝึกซ้อมในช่วงพิเศษ ก่อนลุยศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งนี่คือสัญญาณที่บอกว่า "เกรียนโอ้" อาจได้โอกาสลงสนามในสีเสื้อ "อัซซูรี่" อีกครั้ง ย้อนกลับไปหัวหอกวัย 31 ปี ติดทีมชาติครั้งแรกเมื่อปี 2010 ซึ่งขณะนั้นเจ้าตัวเพิ่งมีอายุเพียง 20 ปี เท่านั้น ถือว่าเป็นดาวรุ่งที่กำลังพุ่งแรงสำหรับวงการฟุตบอลอิตาลี จากผลงานที่เขาระเบิดฟอร์มกับ อินเตอร์ มิลาน ก่อนที่จะได้รับโอกาสลงสนามรับใช้ชาติจาก เซซาเร่ ปรันเดลลี่ จากนั้นชื่อของ บาโลเตลลี่ ก็กลายเป็นขาประจำของทัพ "อัซซูรี่" ในทันที จนกระทั่งได้ติดทีมชาติไปลุยศึกยูโร 2012 ทัวร์นาเมนต์ใหญ่ครั้งแรกของเจ้าตัว ซึ่งถือผลงานส่วนของเขาอยู่ในเกณฑ์ที่สอบผ่านเลยทีเดียว ซัดไป 3 ประตู แถมพาทีมกรุยทางเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ แต่ทว่าก็ต้องพ่ายให้กับความแข็งแกร่งของ สเปน โดนถลุงยับไปถึง 4-0 โอ้มาแล้ว! บาโลเตลลี่ กับการคัมแบ็คสู่ทีมชาติอีกครั้งในรอบ 3 ปี นอกจากผลงานของเขาที่ได้รับการจับตามองแล้ว อีกหนึ่งวีรกรรมที่ทำให้แฟนบอลจดจำคือในรอบรองชนะเลิศที่เขาซัด 2 ประตูใส่ เยอรมัน ก่อนที่จะถอดเสื้อพร้อมเบ่งกล้ามโชว์จนกลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียลถูกตัดต่อไปต่างๆ นาๆ จนเป็นอีกหนึ่งซีนที่เป็นที่สุดของยูโรในคราวนั้น หลังจากนั้น "พี่โอ้" ก็ยังคงติดทีมชาติอย่างต่อเนื่องได้โอกาสลุยศึกคอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ เมื่อปี 2013 แต่เจ้าตัวก็ดันมาเจออาการบาดเจ็บรบกวนทำให้ลงเล่นได้เพียงรอบแบ่งกลุ่มเท่านั้น ก่อนจะได้แก้ตัวในศึกฟุตบอลโลก 2014 แต่ทว่าก็กลายเป็นเวิลด์คัพที่ไม่น่าจดจำ เนื่องด้วยทีมต้องจอดป้ายเพียงรอบแบ่งกลุ่มเท่านั้น ด้วยการมีเพียง 3 คะแนน หลังจบทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวชื่อของ บาโลเตลลี่ กับทีมชาติอิตาลีก็กลายเป็นคู่ขนานกันไปในทันที แม้ว่าจะเปลี่ยนกุนซือคนไหนข้ามารับงานไม่ว่าจะเป็น อันโตนิโอ คอนเต้, จาน ปิเอโร่ เวนตูร่า หรือ ลุยจี ดี บีอาโจ ที่เข้ามาขัดตาทัพช่วงสั้นๆ  แต่ทว่าพลันที่อิตาลีแต่งตั้ง โรแบร์โต้ มันชินี่ เข้ามาคุมทัพปุ้บดูเหมือนแสงสว่างของ บาโลเตลลี่ ก็กลับมาสว่างอีกครั้งปั้บ  ว่าแล้ว "มันโช่" ก็จัดการบรรจงมอบโอกาสให้กับลูกทีมสุดโปรดคนนี้ด้วยการเรียกมาติดทีมชาติในเกมอุ่นเครื่อนช่วงเดือนพฤษภาคม 2018 ต่อด้วยลุยศึกเนชั่นส์ ลีก ในเดือนกันยายน  แต่ทว่าด้วยผลงานของ บาโลเตลลี่ ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่ได้ยอดเยี่ยมเหมือนที่เคย ทำให้เกมกับ โปแลนด์ ในเดือนกันยายน 2018 คือครั้งสุดท้ายที่เขาถูกเรียกตัวไปติดทีมชาติ ก่อนจะหายเข้ากลีบเมฆไปเลย ชีวิตของเขาถือว่าพลิกผันไปมากพอสมควรกลายเป็นนักเตะพเนจรคนหนึ่งของวงการย้ายไปค้าแข้งในฝรั่งเศสกับ นีซ ก่อนถูกปล่อยตัวไปให้ โอลิมปิก มาร์กเซย ไปใช้งานในช่วงซัมเมอร์ 2019 แต่ทว่าก็อยู่ได้ไม่นานลงเล่นให้ทัพ "โอเอ็ม" ไปเพียง 15 นัดเท่านั้น ก็ถูกปล่อยกลับอิตาลี ก่อนเป็น เบรสชา ที่สอยตัวไปเสริมแกร่ง การหวนกลับอิตาลีคราวนี้ไม่ค่อยสวยงามดังหวังเท่าไหร่นัก ทั้งเรื่องผลงานในสนาม รวมไปถึงพฤติกรรมนอกสนามที่มาซ้อมช้า หรือไม่ยอมมารายงานตัวฝึกซ้อม จนสุดท้ายทำให้สโมสรทนไม่ไหวต้องส่งจดหมายไปยกเลิกสัญญา ทิ้งสถิติลงสนามกับทีมไว้ที่ 19 นัด ซัด 5 ประตู พร้อมวีรกรรมที่ไม่น่าจดจำมากนัก จากนั้นเป็น มอนซ่า ทีมในลีกรอง อิตาลี ที่แสดงความจำนงอยากได้ซูเปอร์สตาร์รายนี้ไปร่วมทัพ ก่อนที่จะได้ร่วมงานกันราวๆ 6 เดือน  บาโลเตลลี่ สามารถพาทีมเข้ารอบเพลย์ออฟชิงตั๋วขึ้นมาลุยลีกสูงสุด แต่ทว่าสุดท้ายก็ต้องผิดหวังพ่ายให้กับ ชิตตาเดลล่า ด้วยสกอร์รวม 2 นัด 3-2 ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้แยกทางกับ มอนซ่า และก็ถึงคราวที่เขาจะหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับตัวเองว่าแล้วก็เดินทางไปที่ตุรกี เพื่อร่วมทัพ อดาน่า เดมีร์สปอร์ ในวันที่เขาเดินทางถึงแดนไก่งวงแฟนบอลแห่มาต้อนรับที่สนามบินอย่างหนาตา เพราะนี่คือแข้งชื่อดังคนแรกที่ย้ายเข้ามาสู่ทีม พร้อมความหวังในการปลุกพลังศรัทธา และพาทีมพุ่งชนกับความสำเร็จให้ได้ โอ้มาแล้ว! บาโลเตลลี่ กับการคัมแบ็คสู่ทีมชาติอีกครั้งในรอบ 3 ปี ซึ่งจะว่าไปการย้ายมาที่ตุรกีของ บาโลเตลลี่ ก็ทำให้เขาได้โอกาสโชว์ผลงานอีกครั้ง ตัวเลข 9 ประตู จาก 21 นัด ถือว่ายอดเยี่ยมพอควร และดีพอที่ มันชินี่ จะเหลียวมอง และเรียกตัวกลับมาติดทีมชาติอีกครั้งในรอบ 3 ปี บาโลเตลลี่ ในวัย 31 ปี ดูเหมือนชีวิตเขาจะเรียบง่ายขึ้นเยอะ ไม่ได้ต้องการทำตัวให้อยู่ในแสงสปอตไลท์ตลอดเหมือนช่วงที่ผ่านมา แต่กลายเป็นทำงานของตัวเองอย่างเงียบๆ กลับมาโฟกัสกับฟุตบอลอย่างเต็มที่ก่อนได้โอกาสกลับมารับใช้ทีมชาติอีกครั้ง "ผมสบายดี และอารมณ์ดี ในวัย 31 ปี การลงเล่นให้กับทีมชาติไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ ผมหวังว่าอิตาลีจะสามารถผ่านเข้ารอบสำหรับศึกฟุตบอลโลก พวกเขาสมควรได้รับมัน ผมไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ในรอบเพลย์ออฟ แต่มันสามารถเกิดขึ้นได้" คำพูดเปิดใจกับการคัมแบ็คสู่อ้อมกอดของทัพ "อัซซูรี่" อีกครั้ง ซึ่งเมื่อชายตามองไปที่ผลงานของกองหน้าทีมชาติอิตาลีในตอนนี้ชื่อของ บาโลเตลลี่ ก็มีโอกาสไม่น้อยที่จะได้โอกาสติดโผลุยศึกครั้งสำคัญในการคว้าตั๋วลุยศึกฟุตบอลโลก 2022 เพราะด้วยผลงาน บวกกับประสบการณ์น่าจะช่วยยกระดับให้ทีมได้พอควร  และเมื่อมาอยู่ในมือของกุนซือคู่บุญอย่าง มันชินี่ อีกครั้ง ไม่แน่นี่อาจเป็นการกลับมาเกิดอีกครั้งในวัย 31 ปี ใช่ครับ... การกลับมาเกิดอีกครั้งในเส้นทางลูกหนังของ บาโลเตลลี่ บนหลักวัย 31 ปี ที่ยังคงเฟี้ยว และน่าติดตามอยู่เหมือนเดิม

- Paolinho -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline