logo-heading

เนื่องจาก หงส์แดง ตกเป็นฝ่ายตามหลังไปก่อน แต่ได้การเปลี่ยนเกมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำให้พลิกแซงกลับมาเอาชนะ 3-1

นัดนี้มีหลายอย่างที่ต้องพูดถึง ทั้งการโรเตชั่น นักเตะฟอร์มดี ฟอร์มแย่ และ ชัยชนะที่เป็นเหมือนโชค 2 ชั้น เนื่องจาก ลิเวอร์พูล มีโอกาสไล่ตามตูด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แบบประชั้นชิด เอาเป็นว่าแมตช์นี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง ไปติดตามรับชมกันเลยครับ

- การเปลี่ยนทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์

จริงๆมันมีข่าวมาตั้งแต่ช่วงบ่ายๆแล้วว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะดรอป เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ ผู้เล่นตัวหลักบางคน ในเกมเจอกับ นอริช ซิตี้ เพื่อให้ได้หายใจกันบ้าง หลังเพิ่งกรำศึกหนักกันมา โดยเฉพาะแมตช์ที่บุกไปเอาชนะ อินเตอร์ มิลาน 2-0 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ก็ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงเยอะขนาดนี้

เพราะนอกจากดรอปฟูลแบ็กทั้ง 2 ฝั่ง ตรงแผงมิดฟิลด์ ก็เลือกใช้ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน เล่นร่วมกับ นาบี เกอิต้า และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ส่วน 3 ประสานแดนหน้า นี่คือครั้งแรกที่ คล็อปป์ เลือกใช้ ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ หลุยส์ ดิอาซ ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง พร้อมหน้าพร้อมตา

ด้วยความที่ ลิเวอร์พูล ขุมกำลังกลับมาแบบเกือบจะฟูลทีม ทำให้ เดอะ นอร์มอล วัน มีนักเตะให้เลือกใช้งานจนสนุกมือ แต่กระนั้นสิ่งที่เห็นในวันนี้เลยคือ โจ โกเมซ ที่ลงเล่นในตำแหน่งแบ็กขวา ไม่ได้มีพิษสงเรื่องการเติมเกม หรือ การครอสบอลแบบหวาดเสียว ได้เหมือน เทรนท์ ดังนั้นจุดแข็งตรงนี้ของ หงส์แดง ก็หายไป

ส่วนอีกคนที่โดนวิจารณ์อย่างหนักเลยคือ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ซึ่งในเกมแบบนี้เขาควรจะต้องเค้นฟอร์ม เพื่อทำคะแนนให้ประทับใจ เจอร์เก้น คล็อปป์ เพราะนานๆทีจะได้โอกาส แต่กลับกลายเป็นว่าโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าผิดหวัง จ่ายบอลก็พลาด สร้างสรรค์อะไรไม่ได้ ถึงขั้นที่ ลิเวอร์พูล เอ็คโค่ ให้เรตติ้งเขาแค่ 5 เต็ม 10 เท่านั้น

- นกขมิ้น แหย่รัง หงส์แดง

ขอถามแบบลูกผู้ชาย จะมีสักกี่คน ที่คิดว่า นอริช จะบุกมาทำเซอร์ไพรส์ถึงแอนฟิลด์ เนื่องด้วยดีกรีห่างกันเยอะ โดย นกขมิ้น ต้องดิ้นรนหนีตาย ส่วน หงส์แดง กำลังไล่จี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่อลุ้นแชมป์ อีกทั้งฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ไม่เคยแพ้ในถิ่นแอนฟิลด์ ทุกรายการ ดังนั้นบรรดาเหล่ากูรูต่างฟันธงว่า งานนี้ เจ้าบ้านถล่มยับ !!

รูปเกมก็เป็นไปอย่างที่ทุกคนคาดกันไว้เลยครับ ลิเวอร์พูล ปูพรมบุกใส่อยู่ตลอด ส่วน นอริช ขอเหนียวแน่นเป็นพอ และ ใช้เกมส่วนกลับเล่นงาน แต่กลายเป็นว่า หงส์แดง เจาะยังไงก็เจาะไม่เข้า ทั้งยิงเฉี่ยวไป เฉี่ยวมา บ้าง โดนสกัดบนเส้นบ้าง ยิงไปติดบล็อคบ้าง

และ สิ่งที่ทำให้สาวก เดอะ ค็อป ต้องช็อคตาตั้ง หลังจากเจาะไม่เข้า เมื่อสตาร์ทออกครึ่งหลัง นอริช ได้โอกาสบุก โดยเป็น จอช ซาเจนท์ ลากบอลขึ้นมา เพื่อหาช่อง ก่อนจะจ่ายให้กับ มิล็อต ราชิก้า ได้กดตรงหน้ากรอบเขตโทษ บอลเจ้ากรรมไปแฉลบบล็อคของ โจเอล มาติป เปลี่ยนทางเข้าประตูไป เรียกว่าเป็นประตูที่หัวใจของ แฟนบอล หงส์แดง ต้องหล่นไปอยู่ตาตุ่มแน่นอน เพราะถ้าแพ้แมตช์นี้ โอกาสลุ้นแซง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะยากเย็นมากขึ้นไปอีก

- การเปลี่ยนตัวของ เจอร์เก้น คล็อปป์ คือจุดพลิกผัน

คล็อปป์ เพิ่งโชว์มันสมอง ในการเปลี่ยนตัวผู้เล่น จนพา ลิเวอร์พูล บุกไปพิชิต อินเตอร์ มิลาน มาแล้ว 2-0 เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากโดน นอริช บุกขึ้นนำแบบเซอร์ไพรส์ กุนซือ เฮฟวี่ เมทัล ก็โชว์ฝีมือในการแก้แท็คติคอีกครั้ง ด้วยการถอด อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน กับ นาบี เกอิต้า ก่อจะส่ง ติอาโก้ อัลคันตาร่า และ ดิว็อค โอริกี้ ลงสนามมา นั่นเท่ากับว่า หงส์แดง จะมีแนวรุกในแดนหน้าถึง 4 คน เรียกว่า ยอมทิ้งไม้ตายแล้ว เพราะเสมอก็เหมือนแพ้

และ เพียงแค่ "มหาเทพโอริกี้" เหยียบผืนฟลอร์หญ้า แอนฟิลด์ แค่ 2 นาที แสนยานุภาพของเขา ก็ส่องประกายกันที เพราะ ลิเวอร์พูล มาไล่ตามตีเสมอ 1-1 จาก ซาดิโอ มาเน่ หลังจากนั้นอีก 3 นาทีให้หลัง หงส์แดง ก็แซงขึ้นนำ 2-1 ก่อนมายิงปิดกล่องด้วยสกอร์ 3-1 ซึ่งเรื่องนี้สาวก หงส์แดง เอามายกย่องกันแบบฮาๆเต็มโลกโซเชี่ยลไปหมด

อย่างไรก็ตาม ทุกเครดิต ต้องยกให้กับการเปลี่ยนตัวของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จริงๆครับ มันเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งให้ ลิเวอร์พูล กลับมาเก็บ 3 แต้มสำคัญอีกครั้ง ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในการมีขุมกำลังขนาดใหญ่ เพราะมันสามารถเลือกใช้นักเตะ หรือ ส่งใครลงสนามมาแก้เกมก็ได้ ดังนั้นถ้าหากไม่มีใครเจ็บเพิ่มเติม บอกเลยว่า หงส์แดง น่ากลัวจริงๆ

- ซาลาห์ ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ครบ 150 ตุงเร็วสุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสร

ผลงานแบบนี้ ไม่รู้ว่า เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป กลุ่มทุนเจ้าของสโมสร ลิเวอร์พูล จะรีบยื่นสัญญาฉบับใหม่ให้กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้หรือยัง เพราะเป็นอีกครั้งที่หัวหอกทีมชาติอียิปต์ ซัลโวพาทีมเก็บชัยชนะ ทั้งเกมบุกตบ อินเตอร์ และ แซงเอาชนะ นอริช ซิตี้

จากประตูขึ้นนำ 2-1 แซงหน้า นอริช ของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ส่งผลให้เจ้าตัวเพิ่มสถิติยิงให้กับ ลิเวอร์พูล ไปแล้ว 150 ประตู รวมทุกรายการ โดยใช้เวลาแค่ 233 นัด น้อยสุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสร เป็นรองแค่ โรเจอร์ ฮันท์ ที่ใช้เวลา 226 เกม

ถึงแม้จะไม่ได้เร็วที่สุด แต่มันก็เป็นการตอกย้ำให้เห็นเลยว่า บังโม สำคัญกับ ลิเวอร์พูล มากเพียงใด โดยตอนนี้เจ้าตัวนำเป็นดาวซัลโวของ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่จำนวน 16 ลูก ส่วนอีกคนที่ทำประตูสำคัญไม่แพ้กัน ก็คือ ซาดิโอ มาเน่ ที่เป็นคนยิงประตูตีเสมอ ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 30 แล้ว ที่ คู่หูคู่นี้ ทำประตูได้ในเกมเดียวกัน มากสุดในประวัติศาสตร์สโมสร

- การเปิดซิงของ หลุยซ์ ดิอาซ

แทบไม่ต้องปรับตัวอะไรมากเลยครับ สำหรับ หลุยส์ ดิอาซ แนวรุกป้ายแดง ที่ ลิเวอร์พูล ทุ่มเงิน 50 ล้านปอนด์ ดึงตัวมาจาก เอฟซี ปอร์โต้ เมื่อตลาดหน้าหนาวที่ผ่านมา เพราะเมื่อเขาลงสนามวาดลวดลายให้กับทีม เหล่ากองเชียร์ เดอะ ค็อป ต่างลงเสียงไปในทิศทางเดียวกันว่า เหมือนเขาอยู่กับทีมมานานหลายปี เนื่องจากเล่นกับเพื่อนได้แบบรู้ใจ

ซึ่งหลังจากลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ไปแล้ว 3 นัด การเล่นแบบรู้ใจ แท็คติคของทีม ก็เริ่มซึบซับมากขึ้น และ ในแมตช์ที่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงนัดกับ นอริช นั้น เขาก็ตอบแทน เจอร์เก้น คล็อปป์ ด้วยการเปิดซิงประตูแรกให้กับทีม ต่อหน้าต่อตาแฟนบอลในถิ่นแอนฟิลด์ โดยต้องให้เครดิตกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่จ่ายคิลเลอร์พาสให้กับ ดิอาซ ได้ยิงด้วยการยกข้ามผู้รักษาประตู

- การลุ้นแชมป์ของ ลิเวอร์พูล

เชื่อว่าแฟนบอล ลิเวอร์พูล หลายคน อาจจะยกธงขาวยอมแพ้ไปแล้ว หลังจากต้องไล่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จ่าฝูง ในช่วงที่ไล่ตามหลังด้วยตัวเลข 2 หลัก เพราะด้วยฟอร์มอันร้อนแรงของ เรือใบสีฟ้า ชนะ 12 เกมรวด ซึ่งน้อยคนนักที่จะคิดว่าพวกเขาอาจจะพลาดบ่อยๆ

แต่กระนั้นในโลกของลูกหนัง ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน โดย 5 นัดหลังสุด ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แมนฯ ซิตี้ พลาดเสมอกับ เซาธ์แฮมป์ตัน 1-1 และ ล่าสุดคือพ่ายคาบ้านให้กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-3 นั่นกลายโชค 2 ชั้น สำหรับ ลิเวอร์พูล ทันที

เพราะนอกจากพลิกแซง นอริช แล้วนั้น คู่แข่งลุ้นแชมป์ยังมาพลาดอีก ทำให้ตอนนี้ ลิเวอร์พูล ไล่ตามหลัง แมนฯ ซิตี้ เหลือแค่ 6 คะแนน และ แข่งน้อยกว่า 1 นัด ซึ่งถ้าหากลูกทีม เจอร์เก้น คล็อปป์ คว้าชัยชนะในนัดตกค้างเหนือ ลีดส์ ยูไนเต็ด ได้แล้วล่ะก็ จะไล่มาเหลือ 3 คะแนนเท่านั้น เรียกว่าการลุ้นแชมป์ของ หงส์แดง กลับมาอีกครั้ง และ เปิดกว้างมากจริงๆ

ฮาย ฮาวดี้-

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline