logo-heading

เพราะนับตั้งแต่คว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 2006 ให้ตายเถอะ ยังไม่เห็นทีมชาติอิตาลี ที่เล่นได้น่าตื่นตาตื่นใจเท่านี้มาก่อน

เกมรับยังคงแข็งแกร่ง เก๋าประสบการณ์ และ คลาสสิค เป็นลายเซ็นอันเด่นชัดของ อิตาลี มาทุกยุคทุกสมัย หลายๆทีมอาจจะมีดาวรุ่งผลัดใบขึ้นมา แต่ อัซซูรี่ มี 2 เฒ่า อย่าง เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ กับ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ บัญชาเกมอยู่ในแผงหลัง

ส่วนเกมรุกนั้น โรแบร์โต้ มันชินี่ ขุนขึ้นมาใหม่ ลบภาพความทรงจำที่เล่นฟุตบอลหน้าเบื่อ เน้นแค่ผลการแข่งขันไปจนหมดสิ้น ให้กลายเป็นทีมที่ต่อบอลได้อย่างลื่นหู ลื่นตา และ ที่สำคัญเกมบุกมาทุกทิศทุกทาง ไม่เน้นซูเปอร์สตาร์ แต่เน้นทีมเวิร์ค ใครขึ้นมาทำประตูก็ได้

รอบแบ่งกลุ่ม อิตาลี ยิงไป 7 เสีย 0 .. เกมรับ เกมบุก บาลานซ์กันดีเหลือเกิน

พวกเขาปราบ ออสเตรีย รอบ 16 ทีม, เบลเยี่ยม รอบ 8 ทีม, ดวลจุดโทษเอาชนะ สเปน และ จบทัวร์นาเมนต์อย่างสวยงาม ด้วยการคว้าแชมป์ ยูโร 2020 จากการปราบเอาชนะ ทีมชาติอังกฤษ 

อิตาลี กู่ก้อง สู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง เพราะผลงานระดับนานาชาติก่อนหน้านี้ ถือว่าส่วนใหญ่ด่ำดิ่งลงเหว นับตั้งแต่คว้าแชมป์ "เวิลด์ คัพ 2006"

ผลงาน ยูโร

ปี 2008 : ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย
ปี 2012 : แพ้นัดชิงชนะเลิศ
ปี 2016 : ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย

ผลงาน ฟุตบอลโลก

ปี 2010 : ตกรอบแบ่งกลุ่ม
ปี 2014 : ตกรอบแบ่งกลุ่ม
ปี 2018 : ไม่ผ่านรอบคัดเลือก

ฉะนั้น การคว้าแชมป์ ยูโร 2020 เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา โรแบร์โต้ มันชินี่ ได้ปลุกยักษ์หลับอย่าง อิตาลี ขึ้นมาเขย่าวงการลูกหนังอีกครั้ง และ เป็นการประกาศกร้าวว่าพวกเขาพร้อมต่อยอดไปถึงโทรฟี่ "เวิลด์ คัพ 2022" ณ ประเทศ กาตาร์

ซึ่งดูแล้วก็น่าจะแบเบอร์ เพราะรอบคัดเลือก อยู่ในกลุ่มที่หวานเจี๊ยบ ไม่มียักษ์ใหญ่ร่วมกลุ่ม จะมีแค่ สวิตเซอร์แลนด์ ที่พร้อมเป็นหอกข้างแคร่ รอสอดแทรกทำเซอร์ไพรส์ ส่วนที่เหลือ ไอร์แลนด์เหนือ, บัลแกเรีย และ ลิธัวเนีย เป็นคู่แข่งที่ อัซซูรี่ เหนือกว่าเยอะ

ทุกอย่างเป็นไปตามคาด อิตาลี เก็บชัย 3 นัดแรก แบบ 9 แต้มเต็ม ซึ่งผลงานนี้มันเกิดขึ้นก่อนจะคว้าแชมป์ ยูโร 2020 ด้วยซ้ำ ขนาดไปเตะอุ่นเครื่อง ก็ไม่แพ้ให้กับใคร จนสร้างสถิติเป็นชาติที่ไร้พ่ายยาวนานที่สุดถึง 37 นัด 

ด้วยสถิติอันโหดเหี้ยมขนาดนั้น ถามจริงๆ "จะมีใครกล้าคิดไหมว่า อิตาลี จะไม่ได้ไป ฟุตบอลโลก?"

หากตอนนั้นผมปากพล่อย ไปวิจารณ์ว่า อิตาลี จะไม่ได้ตั๋วไป เวิลด์ คัพ เชื่อว่าก็คงโดนสวนกลับมาด้วยคำแรงๆ ว่ามึงดูบอลเป็นไหม หรือ มีอคติอะไรกับ อัซซูรี่ หรือเปล่า .. ใช่ครับ เพราะไม่มีวี่แววเลยว่า พวกเขาจะพลาดใครง่ายๆ

แต่แล้ว จุดหักมุม ของ สตอรี่เรื่องนี้ ก็เกิดขึ้น 

เมื่อ อิตาลี พ่ายแพ้ให้กับ สเปน 1-2 ในรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ถูกหยุดสถิติไร้พ่ายไว้ที่ 37 นัด และ ต่อให้จะคว้าที่ 3 มาครอง แต่หลังจากนั้นเอฟเฟ็กต์มันก็รุนแรงเหลือเกิน โดยเฉพาะ 2 นัดชี้ชะตา รอบคัดเลือก ว่า อัซซูรี่ จะได้ไปหรือไม่ เวิลด์ คัพ 2022 หรือไม่

2 นัดที่ว่านั้นคือ พบ สวิตเซอร์แลนด์ กับ นัดสุดท้ายบุกไปเยือน ไอร์แลนด์เหนือ 

ตอนนั้น อิตาลี มีแต้มเท่ากับ สวิตเซอร์แลนด์ แต่ข้อแม้ง่ายกว่า เพราะถ้าเปิดบ้านเอาชนะทีมจากแดนนาฬิกาไปได้ ก็จะการันตีคว้าตั๋วไปลุย ฟุตบอลโลก 2022  ประเทศกาตาร์ ทันที

ซึ่งพวกเขามีโอกาสทำแบบนั้นครับ เพราะขณะกำลังเสมอกันอยู่ 1-1 อิตาลี มาได้จุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ .. จอร์จินโญ่ หยิบบอลมาตั้ง ด้วยความหวังของคนทั้งชาติ เพราะถ้ายิงเข้า คือคว้าตั๋วไป ฟุตบอลโลก เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าไม่เข้า ต้องไปลุ้นถึงฎีกานัดสุดท้าย

กลายเป็นว่า จอร์จินโญ่ ซัดเหินข้ามคาน ทำ 3 แต้มหลุดมือไปอย่างเหลือเชื่อ และ เป็นการพลาดจุดโทษถึง 2 หน ในเกมเจอ สวิส ทั้งเหย้าและเยือน สร้างความยากลำบากให้กับ อัซซูรี่ ต้องไปบุกเอาชนะ ไอร์แลนด์เหนือ ให้ได้สถานเดียว พร้อมกับต้องยิงเยอะๆเอาไว้ก่อนด้วย เนื่องจากต้องไปลุ้นลูกได้-เสียกับ สวิตเซอร์แลนด์ ที่มีแต้มเท่ากัน

และ สิ่งที่ไม่เชื่อว่าจะเกิด ก็เกิดขึ้นครับ เพราะ อิตาลี เจาะ ไอร์แลนด์เหนือ ไม่เข้า ทำได้เพียงเสมอ 0-0 ขณะที่ สวิตเซอร์แลนด์ เปิดบ้านถล่ม บัลแกเรีย 4-0 กลายเป็นว่า สวิตเซอร์แลนด์ แซงขึ้นจ่าฝูง จบเป็นอันดับ 1 หน้าตาเฉย เขี่ยให้ อัซซูรี่ หล่นมาเล่นที่ 2 พลาดคว้าโควต้า ฟุตบอลโลก 2022 แบบอัตโนมัติ !

หนทางเดียวที่ อิตาลี จะได้กลับไป เวิลด์ คัพ อีกครั้ง คือต้องคว้าตั๋วจากรอบเพลย์ออฟ ให้ได้ แต่ข้อแม้มันยากกว่าเดิม เนื่องจากมีโควต้าแค่ 3 ที่นั่ง กับทีมร่วมชิงชัยถึง 12 ชาติ

ที่สำคัญเหมือนฟ้าเล่นตลก เมื่อ อิตาลี ถูกจับมาอยู่สายเดียวกับ โปรตุเกส หมายความว่าจะต้องมียักษ์ใหญ่ชาติใดชาติหนึ่ง พลาดไปเล่น ฟุตบอลโลก 2022 แน่นอน ซึ่งทั้งคู่มีโอกาสมาเจอกันในรอบชิงตั๋วสาย โดยจะต้องผ่านรอบแรกให้ได้ก่อน

โปรตุเกส VS ตุรกี
อิตาลี VS มาซิโดเนียเหนือ

ดูจากชื่อชั้น ก็มีโอกาสมาฟาดฟันกันเองสูงมาก แทบไม่มีใครกล้าคิดเลยว่า จะมีชาติไหน ชิงตกรอบไปก่อน

โปรตุเกส ชนะ ตุรกี 3-1 ผ่านเข้ารอบชิงตั๋ว ฟุตบอลโลก 2022 ตามนัด ชนิดหวาดเสียวหัวใจเหมือนกัน

ส่วน อิตาลี นะเหรอ ? ตลอด 90 นาที พวกเขาปูพรมบุกเข้าใส่ มาซิโดเนียเหนือ อยู่ฝั่งเดียวตามคาด มีสถิติบุกเข้าทำมากถึง 32 ครั้ง ยิงตรงกรอบไป 5 ครั้ง แต่ไม่สามารถยิงผ่านมือผู้รักษาประตู  มาซิโดเนียเหนือ ได้เลย ทั้งๆที่มีโอกาสมากมาย หลายๆครั้งก็ยิงติดบล็อค ยิงนกตกปลากันไปเอง เจาะยังไง ก็เจาะไม่เข้า

ดูทรงต้องยืดเยื้อไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่แล้วเหตุการณ์ช็อคโลกก็เกิดขึ้น อเล็กซานดาร์ ทราจคอฟสกี้ กองหน้า มาซิโดเนียเหนือ ซัดด้วยขวาบอลเสียบมุม บุกขึ้นนำ อิตาลี แบบล็อคถล่ม 1-0 นาที 90+2 พร้อมจบเกมด้วยสกอร์นี้

กลายเป็นว่า อิตาลี กระเด็นตกรอบเพลย์ออฟแบบเหลือเชื่อ ไม่ได้ไปตามนัดเพื่อรอเจอ โปรตุเกส พลาดไปทัวร์นาเมนต์ ฟุตบอลโลก 2 สมัย ติดต่อกัน .. น้ำตาแห่งความเสียใจเอ่อล้นขึ้นมาจากใต้ตานักเตะทีมชาติอิตาลี โดยเฉพาะ จอร์จินโญ่ ที่เขากล่าวโทษตัวเอง ถึงการพลาดจุดโทษเจอกับ สวิตเซอร์แลนด์ โดยเขายอมรับว่า มันจะเป็นตราบาปไปชั่วชีวิต

"มันรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน เมื่อคิดถึงถึงเรื่องจุดโทษ เพราะผมนึกถึงแต่เรื่องนี้ และ มันจะหลอกหลอนผมไปตลอดชีวิต การพลาดจุดโทษ 2 ครั้งติด และ ไม่สามารถช่วยทีมของคุณและประเทศของคุณได้ มันจะเป็นสิ่งที่ผมต้องแบกรับและเสียใจไปตลอดชีวิต"

ความชอกช้ำที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ความผิดพลาดเท่านั้นนะครับ แต่สิ่งที่เหมือนจะไม่เป็นปัญหา กลับกลายเป็นช่องโหว่อันใหญ่หลวงก็คือ "กองหน้าตัวจบสกอร์" เห็นได้เลยจากการที่ยิงคู่แข่งไม่ได้

ถึงแม้ อิตาลี จะเป็นทีมเน้นทีมเวิร์ค และ มีเกมรับอันแข็งแกร่ง แต่ปัญหากองหน้านี่แหละครับ ที่ทำให้พวกเขาต้องพลาดตั๋ว ฟุตบอลโลก เพราะช่วงเตรียมความพร้อม ก่อนหน้าจะมาเล่นรอบเพลย์ออฟ ทาง โรแบร์โต้ มันชินี่ ถึงกับต้องเรียก มาริโอ บาโลเตลลี่ มาติดทีมอีกครั้ง เพื่อมาร่วมฝึกซ้อมกับทีม แต่สุดท้ายก็โดนตัดชื่อออกไป

อย่างไรก็ตาม กองหน้าที่มีอยู่ ไม่ได้เข้าขั้นซูเปอร์สตาร์ แบบที่จะมาเป็น "เดอะ แบก" ไว้ได้ เมื่อถึงสถานการณ์กดดัน หรือ เจอเกมชี้เป็นชี้ตาย

ชิโร่ อิมโมบิเล่ : 15 ประตู
ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ : 10 ประตู
โดมินิโก้ เบราร์ดี้ : 6 ประตู

นี่คือสถิติทั้ง 3 คนในนามทีมชาติ ซึ่งถือว่าไม่เยอะเลยครับ

โดยถึงแม้ อิมโมบิเล่ จะยิงกระจายเหมือนเดิม ในศึก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี รั้งดาวซัลโวร่วมด้วยจำนวน 21 ประตู แต่ในนามทีมชาติอิตาลี กลับแตกต่างออกไป 

เพราะ 3 ประสานกองหน้าที่กล่าวถึง ยิงรวมกันแค่ 1 ประตู เท่านั้น ตลอด 10 เกมหลังสุด ซึ่ง 1 ลูกที่ทำได้ มาจากจุดโทษ นั่นมันสะท้อนให้เห็นเลยครับว่าทำไม อิตาลี ถึงเจาะคู่แข่งไม่เข้า ทั้ง 2 นัดสุดท้ายในรอบคัดเลือก และ แมตช์ที่เจอกับ มาซิโดเนีย โดยเฉพาะ เบราร์ดี้ ที่มีโอกาสเหน่งๆ ยืนโล่งๆ ไม่มีใครประกบ แต่ไปยิงเบาเข้ามือผู้รักษาประตู ซะอย่างงั้น

ฉะนั้นในอนาคต อิตาลี คงจะต้องปั้นกองหน้าเก่งๆขึ้นมาสู่วงการแล้วล่ะครับ เพราะการมีหัวหอกที่ฝากผีฝากไข้ไว้ได้ มันจะทำให้ อัซซูรี่ เกรียงไกรไปมากกว่านี้ การคว้าแชมป์ ยูโร 2020 คือเรื่องที่ยิ่งใหญ่ และ จะถูกกล่าวขาน แต่ตอนนี้ภาพจำของพวกเขา คือไม่ได้ไป ฟุตบอลโลก 2022

แต่การขาดกองหน้าชั้นยอด มันทำให้เห็นแล้วว่า อิตาลี ต้องจ่ายค่าเสียหายมากเพียงใด ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบตลอดเวลา มันต้องแก้ไขในส่วนที่ผิดพลาด ต่อจากนี้หวังว่า อิตาลี จะลืมความชอกช้ำโดยเร็ว พร้อมไปตั้งต้นกันใหม่ เพื่อกลับมาสู่เวที เวิลด์ คัพ ในอีก 4 ปีข้างหน้าให้ได้

ฮาย ฮาวดี้

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline