logo-heading

หลังจบเกมนี้ ก็มีหลากหลายเรื่องราวให้ได้พูดถึงกัน ซึ่งทาง พาเลซ เอง แม้จะเป็นผู้แพ้ แต่ก็ต่อสู้อย่างเต็มที่ เอาเป็นว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง ไปติดตามกันเลยครับ

- เชลซี กลับมาใช้ระบบเก่ง

ย้อนกลับไปเกมที่ เชลซี สู้สุดใจ บุกไปเอาชนะ เรอัล มาดริด 3-2 ช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่ยังไม่ดีพอต่อการเข้ารอบรองชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งวันนั้น โธมัส ทูเคิ่ล ได้ปรับหมากไปใช้ระบบแผงแบ็กโฟร์ เพื่อเพิ่มมิติเกมรุก ซึ่งมันก็ได้ผลได้ดีเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามนัดที่เจอกับ คริสตัล พาเลซ ได้กลับมาใช้ระบบเก่ง 3-4-1-2 อีกครั้ง คือจะบุกใส่คู่แข่งนั่นแหละครับ แต่หลังบ้านก็ต้องรัดกุมไว้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ครึ่งแรกของ เชลซี เป็นไปด้วยความอึดอัด ต่อให้กลับมาใช้แผนเก่ง แต่พอเจอเกมเพรสซิ่งของ พาเลซ ก็เกือบแย่เหมือนกัน อาจจะด้วยความเหนื่อยล้า จากการกรำศึกหนักกับ ราชันชุดขาว 120 นาที ทำให้หลายๆอย่างไม่เป็นดั่งใจหวัง อีกทั้งมาเจอข่าวร้าย เมื่อ มาเตโอ โควาซิช บาดเจ็บข้อเท้า เล่นต่อไม่ไหว จำต้องถอดออกจากสนาม และ ส่ง รูเบน ลอฟตัส-ชีค ลงสนามมา

ไม่รู้ว่าแฟนบอลจะรู้สึกยี้หรือเปล่า เมื่อเห็น ลอฟตัส-ชีค ลงสนามมา เพราะช่วงหลังก็โดนวิจารณ์เยอะ เกี่ยวกับผลงานและความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งว่ากันตามตรงครึ่งแรก เขาทำผลงานไม่ดีเท่าไหร่ แต่กระนั้นครึ่งหลัง เขากลายเป็นฮีโร่ เมื่อเป็นคนเบิกสกอร์ให้ เชลซี ขึ้นนำ 1-0 นาที 65 หลังบอลทะลักมาเข้าทาง ซัดเต็มข้อเข้าไปซุกตาข่าย นับเป็นประตูแรกของตัวเอง ตั้งแต่ย้ายไปเล่นแบบยืมตัวให้กับ ฟูแล่ม เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2020

ส่วนคนที่ดีวันดีคืน ทำประตูเป็นกอบเป็นกำให้กับ เชลซี ก็คือ เมสัน เมาท์ ซึ่งเกมชนะ พาเลซ ก็มายิงปิดกล่องให้ทีมเอาชนะไปได้ 2-0 โดย 4 นัดหลังสุด เจ้าตัวซัลโวไป 4 ประตู นับว่าไม่ธรรมดาเลย ไม่ว่าจะเป็นระบบไหน แผนไหน ตอนนี้ เมาท์ ถือว่าเป็นแกนหลักในเกมรุกของ ทูเคิ่ล จริงๆ

ขณะที่ โรเมลู ลูกากู บทบาทของเขายังมีสถานะเป็นตัวสำรองเหมือนเดิม บางทีนั่งนานๆ ก็ทำให้เกิดความกดดัน และ ฝีเท้าไม่เป็นดั่งใจหวัง ซึ่งตอนที่ถูกส่งลงสนามมา มีโอกาสได้ชาร์ตจ่อๆท้ายเกม แต่ก็ยิงไปชนเสาเสียอีก ทำอะไรก็ดูไม่เป็นใจไปหมด

- พาเลซ พลาดโอกาสทอง จบสกอร์ไม่ได้

ถึงแม้ว่า คริสตัล พาเลซ ภายใต้การคุมทีมของ ปาทริค วิเอร่า จะมาเล่นเป็นฝ่ายตั้งรับ ขอเล่นแบบรัดกุมไว้ก่อน แต่ก็อาศัยลูกโต้กลับแบบเจ็บๆ โดยมี วิลฟรีด ซาฮา เป็นตัวปั่นป่วนแนวรับคู่แข่ง ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่มี คอร์เนอร์ กัลลาเกอร์ ตัวรุ่งอนาคตไกล ลงสนาม เนื่องจากต้องเจอกับสโมสรแม่อย่าง เชลซี

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่า พาเลซ จะไม่มีโอกาสเลย พวกเขาควรจะขึ้นนำไปก่อนด้วยซ้ำ โดยเฉพาะครึ่งหลังราวๆนาที 60 เมื่อได้ลูกเตะมุม เปิดโค้งมาเข้าหัว ชีกู คูยาเต้ โขกกดลงพื้นตามหลักสูตรที่ฝึกฝนมาแล้ว แต่ถากเสาไปแค่คืบเดียวเท่านั้น ไม่งั้นรูปเกมอาจมีแตกต่างออกไป

นอกจากนี้ ในช่วงที่ ปราสาทเรือนแก้ว ตกเป็นฝ่ายตามหลัง เชลซี อยู่ 0-2 พวกเขามีโอกาสจะตีไข่แตก เพื่อกลับมาสู่เกม โดยเป็นช็อตจากลูกเตะมุม จอร์แดน อายิว ขวิดจากเสาแรก บอลทะลักลอยโด่งมาเสาสอง โยอาคิม แอนเดอร์เซ่น เซ็นเตอร์แบ็กของทีม ขึ้นโขกเหน่งๆระยะแค่ 3 หลา แต่กลับไม่เข้ากรอบอย่างน่าเหลือเชื่อ

จากการพ่ายแพ้ครั้งนี้ ก็ทำให้ พาเลซ หมดลุ้นทุกรายการอย่างแน่นอนแล้ว เพราะภารกิจในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ดูแล้วไม่น่ามีอะไรตื่นเต้น เรื่องต้องไปลุ้นหนีตาย เพราะรั้งอยู่อันดับ 13 มี 37 คะแนน เหนือโซนตกชั้นถึง 12 แต้ม โดยตามหลักทฤษฎีทีมที่อยู่รอดบนลีกสูงสุด ต้องมีแต้มการันตี 40 คะแนน ซึ่งพวกเขาขอแค่อีก 3 แต้ม เท่านั้น นับว่าน่าจะตามเป้าหมายของสโมสร และ การผ่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ก็มาไกลมากกว่าที่ใครหลายคนจะคาดคิดเอาไว้

- สถิติการพบกับ ลิเวอร์พูล

เชลซี เป็นทีมแรกในรอบเกือบ 20 ปี ที่ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ 3 ซีซั่นติดต่อกัน ต่อจาก อาร์เซน่อล ที่เคยทำได้ช่วงระหว่างปี 2001-2003 และ ที่สำคัญมันครบรอบ 10 ปี พอดิบพอดี ที่ สิงห์บลูส์ เคยเอาชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ก่อนจะโคจรมาพบกันอีกครั้ง

เชื่อว่า เชลซี พกความแค้นมาเต็มรถบรรทุก เนื่องจากเคยพ่ายแพ้การดวลจุดโทษให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดชิง คาราบาว คัพ มาก่อน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา แต่เช่นกัน หงส์แดง ก็ต้องการล้างตา จากเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีก่อนเช่นกัน ดังนั้นความเดือดดาลไม่ต้องพูดถึง คงร้อนแรงยิ่งกว่าหมื่นฟาเรนไฮต์

ส่วนการดวลกันระหว่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ กับ โธมัส ทูเคิ่ล ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะ 3 นัดในซีซั่นนี้ ยังกินกันไม่ลง หากนับเฉพาะเวลา 90 นาที โดยที่ แอนฟิลด์ เสมอกัน 1-1 และ ไปเสมอกัน 2-2 ณ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ส่วนนัดชิงชนะเลิศ คาราบาว คัพ ก็ทำอะไรกันไม่ได้จนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ ต้องไปฎีกาที่จุดโทษ และ เป็น หงส์แดง คว้าแชมป์ไป

คงต้องมารอดูกันแล้วล่ะครับว่าสุดท้ายแล้ว ถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดของลูกหนังแดนผู้ดี ใครจะคว้าแชมป์ไปครอง ลิเวอร์พูล หรือ เชลซี และ ใครจะโชว์กึ๋นออกมาได้เฉียบกว่ากัน ระหว่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ กับ โธมัส ทูเคิ่ล    

- ทูเคิ่ล พาทีมเข้าชิงบอลถ้วยได้อีกสมัย

นับตั้งแต่ โธมัส ทูเคิ่ล เข้ามารับงาน สิงห์บลูส์ เมื่อเดือนมกราคม 2021 เขาได้สร้างความสำเร็จให้กับสโมสรไว้มากมาย ทั้งคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และ สโมสรโลก ทั้งๆที่เพิ่งเข้ามากุมบังเหียนได้แค่เพียง 1 ปีกว่าๆ เท่านั้น

ขนาด เชลซี เต็มไปด้วยปัญหาทั้งภายใน และ ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของสโมสรโดนคว่ำบาตร, ทีมโดนตัดช่องทางการใช้งาน รวมถึงโรคร้าย โควิด-19 ที่เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญช่วงกลางซีซั่น จนส่งผลให้พวกเขา หมดลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่นนี้ ไปแล้วเรียบร้อย

แต่กระนั้น ทูเคิ่ล ก็ยังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม พา เชลซี รั้งตำแหน่งท็อป 4 เหมือนเดิม และ ต่อให้จะต้องตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทว่าก็สู้อย่างสมศักดิ์ศรี จนเกือบพลิกนรกเขี่ย เรอัล มาดริด ตกรอบได้เหมือนกัน เรียกว่าโชว์ฟอร์มได้ใจสุดๆ

กระทั่งล่าสุด ทูเคิ่ล ก็ยังพา สิงห์บลูส์ ผ่านเข้ามาชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ได้อีกสมัย หลังเคยแพ้ เลสเตอร์ ซิตี้ นัดชิงโทรฟี่ เมื่อซีซั่นก่อน เรียกว่าพาทีมเข้าชิงฟุตบอลถ้วยอีกครั้งได้สำเร็จ พร้อมมีสถิติอันน่าทึ่งคือ ทูเคิ่ล มีสถิติคุมทีมในรอบรองชนะเลิศ ด้วยอัตราชนะ 100 เปอร์เซ็นต์ แข่ง 11 นัด ชนะ 11 นัด ไม่แพ้เลย 

ซึ่งนัดนี้ชนะ พาเลซ ก็แสดงให้เห็นว่าสถิติดังกล่าวไม่ใช่เรื่องฟลุ๊ค และ ทำให้สาวก สิงห์บลูส์ ได้ลุ้นคว้าแชมป์ก่อนปิดฉากซีซั่นนี้ โดยต้องไปฟาดฟันกับ ลิเวอร์พูล มารอดูกันว่าจะล้างแค้นจากนัดชิงชนะเลิศ คาราบาว คัพ ได้หรือไม่

ฮาย ฮาวดี้

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline