logo-heading

เมื่อเกิดเรื่องราวเหลือเชื่อขึ้นอีกครั้งในรอบรองชนะเลิศ เนื่องจาก 89 นาทีนิดๆ ลูกทีม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กำลังจะได้ไป สต๊าด เดอ ฟร้องซ์ เนื่องจากออกนำ 1 ลูก แต่ใครจะเชื่อล่ะครับว่า เรอัล มาดริด จะยิงแซงกลับมา 2-1 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บถึง 2 ลูก โดยใช้เวลาห่างกันแค่ 1 นาที เท่านั้น ก่อนสุดท้ายจะเป็น ราชันชุดขาว คัมแบ็กมาเอาชนะด้วยสกอร์ 3-1 ช่วงต่อเวลาพิเศษ

แมตช์นี้ มีเรื่องให้พูดถึงเยอะมาก แต่จะมีอะไรน่าสนใจ ทางขอบสนาม คัดมาให้แล้ว ไปติดตามกันเลยครับ

- ครึ่งแรก เกมตึงจัด แม้สกอร์เสมอ 0-0

ถึงแม้ว่า 45 นาทีแรก สกอร์เสมอกันอยู่ 0-0 แต่กระนั้นรูปเกม ไม่น่าเบื่อหน่ายเลยสักนิด นอกจากเกมจะเร็ว และ แลกกันสนุกแล้ว ต้องบอกเลยว่าเป็นแมตช์ที่ "ตึงแบบจัดๆ" เพราะต่อให้ ราชันชุดขาว จะครองบอลได้มากกว่าเล็กน้อย 52 ต่อ 48 % แต่กระนั้นต้องบอกว่า เรือใบสีฟ้า มีโอกาสได้น้ำได้เนื้อมากกว่า

มาดริด พยายามใช้ความเร็วของ วินิซิอุส จูเนียร์ เล่นงานแนวรับ เรือใบสีฟ้า ทว่าการได้ตัว ไคล์ วอล์คเกอร์ กลับมา นับว่าถูกี่ถูกเวลาจริงๆ เพราะไล่ฟัด ไล่กวดกับ วินิซิอุส ได้แบบโคตรมันส์ อารมณ์แบบกัดไม่ปล่อย ใช้เหลี่ยมฟุตบอลสู้กันตลอดเวลา ส่วน คาริม เบนเซม่า นั้น ยังไม่ได้โชว์พิษสงมากนัก ทำให้ครึ่งแรก ราชันชุดขาว ยิงไม่ตรงกรอบเลย

ผิดกับทางฝั่ง แมนฯ ซิตี้ ยังคงมาในรูปแบบ วิ่งไล่เพรสกันทุกตำแหน่ง ตัดบอลได้เมื่อไหร่ พร้อมสวนถึงเขตอันตรายของคู่แข่งทันที มีหลายครั้งที่ ติโบต์ กูร์กตัวส์ ต้องออกแรงเซฟ โดยเฉพาะ ฟิล โฟเด้น ที่ปั่นป่วนแนวรับ มาดริด ได้เหลือเกิน มีทั้งช็อตได้ยิงด้วยขวาบอลพุ่งตรงกรอบ แต่โดนเซฟเอาไว้ รวมถึงจังหวะที่กำลังสปีดหนี คาเซมิโร่ โดนทั้งดึง โดนทั้งเตะ แต่ผู้ตัดสินก็ไม่ได้แจกใบเหลือง

นับเป็นผลเสมอ 0-0 ที่น่าตื่นเต้นดีเหลือเกิน เพราะมองไม่ออกเลยว่า ฝ่ายไหนจะทำประตูได้ก่อน เพราะไม่มีใครเหนือกว่าชัดเจน แต่ที่แน่ๆคือแนวรับของทั้งคู่ รัดกุมขึ้นมาก ไม่ยอมให้เสียประตูง่ายๆเหมือนนัดแรกกันอีกแล้ว

- มาห์เรซ ซัดขึ้นนำ แทบปิดความหวัง มาดริด

ในขณะที่เกมยังตึงเครียด เสมอกันอยู่ 0-0 ซึ่งแน่นอนทำให้ มาดริด ก็น่าจะกระวนกระวายไปด้วย เพราะสกอร์รวมยังตามหลังอยู่ 1 ลูก แต่ในขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำการเปลี่ยนตัว เพื่อเพิ่มความรัดกุมในแผงกองกลางให้มากขึ้น เหมือนว่า ราชันชุดขาว จะเสียสมาธิมากไปหน่อย เพราะเห็นว่า เควิน เดอ บรอยน์ โดนเปลี่ยนออกไปแล้ว

ทำให้พื้นที่ตรงกลางโล่งมาก ไม่มีใครตามประกบ แบร์นาร์โด้ ซิลวา สักคนเดียว ก่อนที่เขาจะลากเข้ามาสู่เขตอันตราย และ ไหลออกไปด้านขวาให้กับ ริยาด มาห์เรซ วิ่งเข้ามาซัดเต็มแรง บอลเบียดเสาแรกเข้าไปอย่างเฉียบคม ชนิดที่ ติโบต์ กูร์กตัวส์ หมดสิทธิ์ เป็นประตูขึ้นนำของ เรือใบสีฟ้า 1-0

ประตูที่ 24 ทุกรายการของ มาห์เรซ แทบจะส่งให้ แมนฯ ซิตี้ ผ่านเข้ารอบเลยล่ะครับ เพราะสกอร์รวมออกนำเป็น 5-3 รวมถึงโอกาสที่จะทำประตูของ มาดริด ก็ไม่ได้เยอะมากนัก ช่วงท้ายเกมก่อนเข้าทดเวลาบาดเจ็บ ทาง เป๊ป ก็ส่ง แฟร์นานดินโญ่ ลงมาอีกคน เพื่อมาช่วยปิดเกมแล้ว ซึ่งตอนนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะเกิดปาฏิหาริย์เลยครับ

- มาดริด พลิกนรก เกมไม่จบ โคตรดราม่า

ในขณะที่ เรอัล มาดริด กำลังนอนหายใจแบบโรยริน เหลือแค่ให้หมอถอดท่ออ๊อกซิเยน ก็จะจากเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปอย่างสงบ เพราะครบ 90 นาที ยังไม่รวมทดเจ็บ พวกเขายังตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ 0-1 ต้องยิงอีก 2 ลูก เพื่อยื้อชีวิต ไปสู้กันในช่วงต่อเวลาพิเศษ ซึ่งตอนนั้นไม่มีวี่แววเลยว่า ราชันชุดขาว จะกลับมาได้

แต่ขอถามคุณอย่างนึง คุณคิดว่าโลกนี้มีปาฏิหาริย์หรือไม่ คุณเชื่อในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยหรือเปล่า ซึ่งไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ กระนั้นนักเตะ มาดริด ไม่หมดหวัง เพราะถ้ายังไม่มีนกหวีดเป่าจบเกม นั่นหมายความว่า ทุกโอกาสยังเกิดขึ้นได้เสมอ

และ ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นจริงๆครับ เมื่อ มาดริด ปฏิบัติการพลิกนรกให้แฟนบอลได้อึ้งรับประทานอีกครั้ง โดยเริ่มจาก คาริม เบนเซม่า ตวัดจากกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย เข้ามาตรงเสาแรก ให้กับ โรดริโก้ วิ่งเข้ามาโฉบจิ้มตัดหน้า เอแดร์ซอน เป็นประตูตีเสมอ 1-1 นาที 90 พอดิบพอดี

ณ ตอนนั้น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว สั่นสะเทือนราวๆกับแผ่นดินไหว แฟนบอลในสนาม แหกปากส่งเสียงเชียร์กันลั่นสังเวียน กระตุ้นให้นักเตะเดินหน้าต่อไป เพราะทดเวลาบาดเจ็บถึง 6 นาที ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีประวัติ เคยรัวใส่พลิกนรกแซง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง หรือ โกงความตาย ที่เคยตามหลัง เชลซี ถึง 3 ลูกมาแล้ว

มาดริด แทบฉายหนังม้วนเดิม เพียงแค่มันเป็น EP ใหม่ เปลี่ยนศัตรูมาเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เท่านั้น โดยหลังจากตีเสมอ 1-1 ต่อมาแค่ไม่กี่อึดใจ โรดรีโก้ คนดีคนเดิมก็เป็นคนโขกให้ ราชันชุดขาว พลิกกลับมาแซงนำ 2-1 แบบเหลือจะเชื่อ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ แค่ยิงให้ตรงกรอบยังยาก แต่ช่วงทดเจ็บ ดันยิงเข้าถึง 2 ลูก ทำให้สกอร์รวมกลับมาเท่ากัน 5-5 ก่อนจะต้องไปต่อเวลาพิเศษ แบบสุดมันส์

- คาริม เบนเซม่า ยิงยับในรอบน็อคเอาท์

ถ้าถามว่าใครที่เป็นคนพา เรอัล มาดริด ผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นนี้ ได้ล่ะก็ หนึ่งในนั้นต้องให้เครดิตกับ คาริม เบนเซม่า ไปเต็มๆเลยครับ เพราะนี่คือ เดอะ แบก เรื่องการทำประตูให้กับทีมอยู่เสมอ โดยเฉพาะช็อตสำคัญๆจะมีชื่อของเขาอยู่บนสกอร์บอร์ดให้เห็นอยู่ตลอด

ถึงแม้ว่า เกมที่ เบร์นาเบว เมื่อคืนนี้ ตลอด 90 นาที เจ้าตัวอาจจะยังเรดาร์ไม่ค่อยดีมากนัก ยิงไม่ตรงกรอบเท่าไหร่ แต่อย่างเขาก็เป็นคนแอสซิสต์ให้ โรดรีโก้ ยิงตีเสมอ 1-1 และ เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการพลิกนรกครั้งนี้

สุดท้าย พระเอก จะมาโชว์ความสุดยอดในตอนท้ายเสมอ เมื่อเขารับบทขอซัดจุดโทษ แบกรับความกดดันทั้งหมด ก่อนจะซัดไม่พลาดให้ มาดริด ขึ้นนำ 3-1 พร้อมกับเป็นประตูชัยพาสโมสร ผ่านเข้าชิงชนะเลิศไปพบกับ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จ เพื่อลุ้นแชมป์สมัยที่ 14

และ จากประตูที่ เบนเซม่า ทำได้นั้น ส่งผลให้เขาซัลโวในรอบน็อคเอาท์ของถ้วย บิ๊กเอียร์ ไปแล้วทั้งสิ้น 10 ประตู นับเป็นนักเตะที่ทำประตูได้เยอะสุด นับแค่ซีซั่นเดียว เทียบเท่ากับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่เคยทำไว้กับ ราชันชุดขาว เนี่ยแหละครับ เมื่อซีซั่น 2016-17 ต้องมารอดูกันว่านัดชิงชนะเลิศที่จะพบกับ ลิเวอร์พูล เขาจะไปถึงฝั่งฝันหรือไม่

- อาถรรพ์ถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ของ เป๊ป
กับ เรือใบสีฟ้า

นับตั้งแต่ที่ เป๊ป เข้ามารับงานกุมบังเหียน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 3 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย และ ลีก คัพ ถึง 4 สมัย แต่กระนั้นถ้วยเดียวที่ เป๊ป รวมถึงแฟนบอล เรือใบสีฟ้า ตามหามานานแสนนาน อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ยังไม่เคยได้สัมผัสเลยสักครั้ง

ใกล้เคียงที่สุด คงเป็นเมื่อซีซั่นก่อน ที่ผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ทว่าก็ไปแพ้ให้กับ เชลซี 0-1 ต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้ง และ ดูเหมือนอาถรรพ์ถ้วย ยูซีแอล ยังเป็นคำสาปที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังแก้ไม่หาย เพราะอีกแค่ 6 นาที กำลังจะผ่านไปชิงดำกับ ลิเวอร์พูล อยู่แล้ว ก็ดันมาโดนทีเด็ด คนอึดตายยาก ของ มาดริด ไปอีก

ซึ่งจากการที่ แมนฯ ซิตี้ พ่ายแพ้ต่อ เรอัล มาดริด ทำให้พวกเขาตกรอบรองชนะเลิศให้กับทีมจากสเปน อีกครั้ง โดยก่อนหน้านี้ก็เคยเจอกับ ราชันชุดขาว ในรอบตัดเชือก ยูซีแอล เมื่อซีซั่น 2015-26 วันนั้นเป็น เรือใบสีฟ้า ที่ตกรอบไปด้วยสกอร์รวม 0-1 ไม่รู้เหมือนกันว่าท้ายที่สุดแล้วลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะล้างอาถรรพ์ คว้าแชมป์รายการนี้กับทีมได้หรือไม่

ส่วน เป๊ป เขาก็จะโดนครหาต่อไปว่า ถ้าไม่มี ลิโอเนล เมสซี่ ก็อาจจะไม่สามารถคว้าแชมป์นี้ได้อีกแล้ว เพราะตั้งแต่ไปอยู่ บาเยิร์น มิวนิค จนมาถึง แมนฯ ซิตี้ ก็ยังโดนอาถรรพ์ถ้วยนี้เล่นงานเสมอ โดยจากการแพ้ เรอัล มาดริด นัดนี้ ทำให้เขาตกรอบรองชนะเลิศ ยูซีแอล มาแล้ว 6 ครั้ง แบ่งเป็นสมัย บาร์เซโลน่า 2 ครั้ง, เสือใต้ 3 ครั้ง และ ล่าสุดคือ แมนฯ ซิตี้ อีก 1 ครั้ง

ฮาย ฮาวดี้

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline