logo-heading

ซึ่งตลอด 90 นาทีในเกมรอบชิงชนะเลิศ รวมไปถึงสถิติต่างๆ ถือว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ โชเซ่ มูรินโญ่ นายใหญ่ชาวโปรตุเกสที่ยังคงความเป็นกุนซือคนพิเศษ และสอยแชมป์ไปครองได้อีกครั้ง

ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราเลยหยิบจับประเด็นหลังเกมที่น่าสนใจจากเกมนี้มาให้ได้ชมกัน ซึ่งจะมีอะไรบ้าง ไปติดตามกันได้เลย

หลังเกม โรม่า คว้าชัย ซิวแชมป์ คอนเฟอเรนซ์ ลีก ทีมแรก

ขุมกำลังทั้งสองทีม

ต้องบอกว่าก่อนที่ทั้งคู่จะลงสนามนั้นเหล่ากูรูนักวิจารณ์ต่างมองว่ามีความสูสีกันเป็นอย่างมาก เพราะด้วยผลงานที่ไม่ได้แตกต่างกัน รวมไปถึงความมุ่งมั่นที่อัดแน่นเต็ม 100 ในการหวังสอยแชมป์ไปครองเป็นทีมแรก

การจัดทัพของทางฝั่ง "หมาป่ากรุงโรม" เกมนี้เรียกได้ว่า โชเซ่ มูรินโญ่ จัดหนักขนผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดลงสนามแนวรับนำมาโดย คริส สมอลลิ่ง, จานลูก้า มันชินี่ และ โรเจอร์ อีบันเญซ ส่วนตัวหลักรายอื่นๆ ก็อยู่กันพร้อมหน้าไม่ว่าจะเป็น นิโคโล ซานิโอโล่, เฮนริค มคิทาร์ยาน รวมไปถึง แทมมี่ อบราฮัม กองหน้าฟอร์มแรงที่ซัดในรายการนี้ไปถึง 9 ประตู 

ข้ามมาที่ทางฝั่ง เฟเยนูร์ด กันบ้าง อาร์เน่ สล็อต กุนซือของพวกเขาก็ขนนักเตะชุดที่ดีที่สุดลงสนามหวังสอยแชมป์ประวัติศาสตร์นี้ให้ได้ แข้งที่พอคุ้นหูของพวกเขาก็อย่างเช่น รีซ เนลสัน, ลุยส์ ซินิสเตร์รา หรือ ไซรีล เดสเซอร์ส ดาวซัลโวรายการที่ 10 ประตู ต่างออกสตาร์ทเป็น 11 ตัวจริงทั้งหมด

เฟเยนูร์ด ครองเกมได้มากกว่า

จะว่าไปนี่คือเกมรอบชิงชนะเลิศที่ตลอด 90 นาทีที่มีอัตราความสูสีไม่ใช่น้อย ต่างฝ่ายต่างมีโอกาสของตัวเองในการจบสกอร์ ซึ่งจุดเปลี่ยนก็มาอยู่ที่ประตูขึ้นนำของ โรม่า ในช่วงนาทีที่ 32 จาก นิโคโล ซานิโอโล่ ซึ่งหลังจากนั้นตัวแทนจากเนเธอร์แลนด์ก็พยายามโหมบุกเข้าใส่อย่างหนักหวังสอยประตูตีเสมอ เพื่อมาเริ่มต้นใหม่ให้ได้

สถิติหลังจบเกมชี้ชัดว่าโอกาสของ เฟเยนูร์ด มีมากกว่า แต่ทว่าปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ โรม่า รอดพ้นจากการเสียประตูคือนายด่านที่มีชื่อว่า รุย ปาตริซิโอ เพราะพี่แกงัดฟอร์มเทพเซฟเป็นพัลวันช่วยทีมให้รอดพ้นออกมาได้ จากโอกาสทำประตูของคู่แข่งที่ตรงกรอบ 5 ครั้ง ก็ไม่อาจผ่านมือนายทวารชาวโปรตุเกสรายนี้ไปได้

ส่วนทางฝั่ง โรม่า แม้จะมีเปอร์เซ็นต์การครองบอลเพียง 37% แต่นั่นไม่ได้บ่งชี้ หรือเป็นเครื่องวัดความสำเร็จ เพราะสุดท้ายพวกเขาสามารถต้านเกมรุกของคู่แข่งอยู่ มันก็เพียงพอแล้วสำหรับชัยชนะ และคว้าแชมป์ คอนเฟอเรนซ์ ลีก เปิดซิงเป็นทีมแรกที่ได้สัมผัสโทรฟี่รายการใหม่นี้

หลังเกม โรม่า คว้าชัย ซิวแชมป์ คอนเฟอเรนซ์ ลีก ทีมแรก

โชเซ่ มูรินโญ่

หลังจากห่างหายจากการคว้าแชมป์ไปนานครั้งล่าสุดคือการพา แมนฯ ยูไนเต็ด เถลิงคว้าแชมป์ยูโรปา ลีก เมื่อปี 2017 จากนั้นชื่อเสียงของนายใหญ่ชาวโปรตุเกส ดูเหมือนจะโดนวิจารณ์ และปรามาศมากพอสมควรว่าเป็นกุนซือที่ตกยุคไปแล้ว และแท็คติกฟุตบอลล้าสมัยจนถูกจับทางได้ แต่ยังไงเสียเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็น โชเซ่ มูรินโญ่ เขาไม่ยอมตายสารบบฟุตบอลง่ายๆ แบบนั้นแน่นอน

ว่าแล้วก็จัดการปิดปากเหล่านักวิจารณ์อีกครั้งด้วยความสำเร็จ จนกลายเป็นกุนซือคนแรกในประวัติศาสตร์ลูกหนังที่สามารถคว้าแชมป์รายการบอลถ้วยยุโรปครบทั้ง 3 ใบ ทั้ง แชมเปี้ยนส์ลีก กับ ปอร์โต้ และ อินเตอร์, ยูโรปา ลีก ก็ได้กับ ปอร์โต้ และ แมนฯ ยูไนเต็ด ส่วนล่าสุดก็เป็น คอนเฟอเรนซ์ ลีก กับทัพ "หมาป่า"

ฉะนั้นแล้วถ้านับตั้งแต่สร้างชื่อกับ ปอร์โต้ ไล่เรียงจนถึงปัจจุบัน มูรินโญ่ สามารถคว้าแชมป์ได้กับทุกทีมที่ตระเวนไปทำงาน ยกเว้นเพียง สเปอร์ส สโมสรเดียวเท่านั้นทั้งที่สามารถพาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศได้แล้ว แต่ก็มาโดนคำสั่งฟ้าผ่าปลดออกจากตำแหน่งเสียก่อน

นี่แหละครับกุนซือที่ยังไงก็ยังคงเป็น The special one ไปอยู่มุมไหนของวงการลูกหนังก็ยังคงได้รับการจับตามอง และไม่แปลกเช่นกันที่เราจะได้เห็นน้ำตาของเขากับความสำเร็จครั้งนี้ เพราะมันพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่หลายคนคิดนั้นมันผิดมหันต์ แม้จะโดนมองว่าตกยุค แต่แชมป์คือเครื่องการันตีชั้นยอดในความเจนจัดของนายใหญ่รายนี้

และหลังจากเจ้าตัวก็ออกมายืนยันหนักแน่นแล้วว่าตอนนี้ได้กลายเป็นโรมานิสต้าแบบ 100% "ผมเคารพทุกสโมสรที่ผมเคยทำงานด้วย แต่วันนี้ผมคือโรมานิสต้า 100% เพราะแฟนบอลเหล่านี้สุดยอดมากๆ แน่นอนว่าผมจะยังคงอยู่กับ โรม่า ต่อไป แม้ว่าอาจจะมีข้อเสนอเข้ามา แต่ผมก็อยากจะอยู่ที่นี่"

คำสัมภาษณ์หลังเกมที่ได้ใจแฟนบอล โรม่า ไปอีกมากโข ซึ่งแน่นอนสิ่งที่เขาพูดออกมามันแสดงถึงพลังที่เขามอบให้กับสโมสรแห่งนี้ที่เปิดโอกาส และเชื่อมั่นในฝีมือของเขา ก่อนที่จะประสบความสำเร็จคว้าแชมป์แรกของทีมในรอบ 14 ปี 

ดาวซัลโวของแข้ง เฟเยนูร์ด

อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่าดาวซัลโวคนแรกของศึกคอนเฟอเรนซ์ ลีก นั้นตกเป็นของดาวยิงจาก เฟเยนูร์ด ที่มีนามว่า ไซรีล เดสเซอร์ส กองหน้าวัย 27 ปี ที่จำนวน 10 ประตู

ซึ่งถ้าเราย้อนกลับไปดูสถิติของเจ้าตัวในรายการนี้คือเขาสามารถซัดประตูได้ทุกรอบของการแข่งขันที่ผ่านมา ยกเว้นเพียงรอบชิงชนะเลิศที่ไม่อาจเจาะตาข่ายของคู่แข่งได้ ส่วนไฮไลท์ของเจ้าตัวในรายการนี้คือการทำประตูติดต่อกันถึง 5 เกม รวมแล้วซัดไปได้ 6 ประตูในห้วงเวลาดังกล่าว

ส่วนรองดาวซัลโวตกเป็นของ แทมมี่ อบราฮัม จากทีมแชมป์อย่าง โรม่า ที่จำนวน 9 ประตู ข้ามที่เหล่าท็อปแอสซิสต์กันบ้างมีมากถึง 5 ราย ที่ทำได้ 4 ครั้ง ประกอบไปด้วย ริค คาร์สดอร์ป (โรม่า), หลุยส์ ซีนีสเตร์ร่า (เฟเยนูร์ด), อีไล ดาซา (วิเทสส์), เอริค โบเธม (โบโด กลิมท์) และ เปป บิเอล (โคเปนเฮเก้น)

เฟเยนูร์ด แพ้แค่เกมเดียวตลอดทัวร์นาเมนท์

หนึ่งในสิ่งที่อยากจะชื่นชมผู้แพ้ในเกมวันนี้คือผลงานอันยอดเยี่ยมของ เฟเยนูร์ด เพราะตลอดทั้งทัวร์นาเมนท์พวกเขาปราชัยให้กับคู่แข่งเพียงทีมเดียวเท่านั้น แต่ทว่ามันดันมาเกิดขึ้นในรอบชิงชนะเลิศที่มีโทรฟี่แชมป์เป็นเดิมพัน

ย้อนไปในรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาเก็บไปได้มากถึง 14 คะแนน จาก 6 นัด แจกแจงออกมาได้เป็นชนะ 4 และ เสมอ 2 ส่วนในรอบ 16 ทีม ก็จัดการปราบ ปาร์ติซาน เบลเกรด ไป-กลับ แบบถล่มทลาย 8-3

รอบน็อกเอาท์อย่าง 8 ทีมสุดท้ายโคจรมาดวลกับ สลาเวีย ปราก พวกเขาก็ซัดคู่แข่ง 2 นัดไปได้มากถึง 6 ประตู พร้อมตีตั๋วมาลุยรอบรองชนะเลิศพบกับตัวเต็งเบอร์ต้นๆ ของรายการอย่าง โอลิมปิก มาร์กเซย 

ซึ่งพวกเขาก็หักปากกาเซียนฝ่าด่านมาได้แบบสวยงามด้วยสกอร์รวม 2 นัด 3-2 กรุยทางมาถึงรอบชิงก่อนโดนเปิดซิงความพ่ายแพ้ และกลายเป็นรองแชมป์แบบช้ำๆ

แต่ทั้งนี้ก็ต้องชื่นชมในผลงานของพวกเขาจริงๆ ที่กลายเป็นหนึ่งในทีมม้ามืดฝ่าด่านเข้ามาถึงรอบสุดท้าย และสามารถสร้างภาพจำเกมรุกที่ดุดันเอาไว้ได้ แม้จะเป็นผู้แพ้ แต่นี่คือผู้แพ้ที่น่าโค้งหัวคารวะมากจริงๆ

- Paolinho -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline