แน่นอนว่านี่คือเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฤดูกาล 2021-22 ที่แฟนๆ ต่างกำลังเฝ้ารอ ดังนั้นวันนี้สิ่งที่ "ขอบสนาม" อยากนำเสนอก็คือการพาทุกท่านไปยลโฉมถึง "สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเกมนัดชิงชนะเลิศ UCL ระหว่าง หงส์แดง และ ราชันชุดขาว"
สนามแข่งนัดชิง
สำหรับการโม่แข้งบนสังเวียนนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ระหว่าง ลิเวอร์พูล และ เรอัล มาดริด จะเตะกันที่ สต๊าด เดอ ฟร้องซ์ ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในค่ำคืนวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม นี้ เท่ากับว่าจะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2006 ที่สังเวียนนัดชิงได้จัดขึ้นที่ดินแดนน้ำหอมซึ่งวันนั้นก็เตะกันที่สนาม สต๊าด เดอ ฟร้องซ์ แห่งนี้ โดยเป็นการพบกันระหว่าง บาร์เซโลน่า และ อาร์เซน่อล ผลปรากฏว่าเป็นทางฝั่งทีมดังจาก คัมป์ นู ที่เป็นฝ่ายพลิกกลับมาเอาชนะได้ 2-1
ประวัติศาสตร์ในถ้วย UCL
เรอัล มาดริด เป็นสโมสรที่คว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยนคัพ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มากที่สุดบนหน้าประวัติศาสตร์ที่ 13 สมัยซึ่งคว้าแชมป์ได้ในปี 1956, 1957, 1958, 1959, 1960, 1966, 1998, 2000, 2002, 2014, 2016, 2017 และ2018 ส่วนทางฝั่ง ลิเวอร์พูล อยู่ในชาร์ตอันดับ 3 ร่วมกับ บาเยิร์น มิวนิค กับการคว้าแชมป์ไปทั้งหมด 6 สมัยที่เกิดขึ้นในปี 1977, 1978, 1981, 1984, 2005 และ 2019
รีแมตช์นัดชิงฯ
ทั้ง ลิเวอร์พูล และ เรอัล มาดริด เพิ่งจะห้ำหั่นกันมาเมื่อไม่นานมานี้ในนัดชิงชนะเลิศของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2018 โดยเกมนัดนั้นมีภาพจำมากมายให้พูดถึงกันทั้งความท็อปฟอร์มของ แกเร็ธ เบล ที่ทำได้ 2 ประตูและหนึ่งในนั้นก็คือลูกยิงโอเวอร์เฮดคิกสุดสวย, อาการบาดเจ็บของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จากการปะทะกับ เซร์คิโอ รามอส ที่เล่นจนไหล่หลุด รวมไปถึงความผิดพลาดจนเกิดเป็นตราบาปในชีวิตของ ลอริส คาริอุส
จากความพ่ายแพ้ในวันนั้นด้วยสกอร์ 1-3 ทางฝั่งของ ลิเวอร์พูล ก็หมายมั่นปั้นมือมากๆ ว่าต้องล้างตาให้จงได้ โดยในเกมๆ นี้จะถือเป็นครั้งที่ 3 ที่ "หงส์แดง" จะได้ฟาดแข้งกับ "ราชันชุดขาว" ในรอบชิงชนะเลิศของถ้วย ยูโรเปี้ยน คัพ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นอกจากปี 2018 แล้วก็จะมีปี 1981 ที่ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายเอาชนะได้ 1-0
สำหรับเฮดทูเฮดการเจอกันของทั้งคู่เคยเจอกันมาทั้งหมด 8 นัด ผลปรากฏว่า ลิเวอร์พูล เอาชนะได้ 3 นัด เรอัล มาดริด ชนะ 4 นัด และเสมอกันไป 1 นัด โดย "หงส์แดง" ยิงได้ 8 ประตู และ "ราชันชุดขาว" ยิงได้ 10 ประตู
แกเร็ธ เบล
ถึงจะกลายเป็นส่วนเกินและก็ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นที่ต้องการอีกต่อในก๊วนของ เรอัล มาดริด รวมไปถึงจากเหล่าบรรดาแฟนบอลด้วย แต่สำหรับ แกเร็ธ เบล ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้เล่นที่ก้าวสู่ระดับเวิลด์คลาสไปแล้ว และก็เป็นฮีโร่ที่ช่วยให้ เรอัล มาดริด เถลิงบัลลังก์แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2018 ด้วย
ในฤดูกาล 2021-22 มีอยู่หลายเกมที่ แกเร็ธ เบล โดนหั่นชื่อหิ้งและก็ไม่ได้ปรากฏตัวอยู่แม้กระทั่งบนม้านั่งสำรอง แต่ในเกมนัดชิงฯ ยูซีแอล ปีนี้ คาร์โล อันเชล็อตติ ได้ใส่ชื่อของเจ้า "พญาวานร" เอาไว้ด้วย พร้อมกับเปรยๆ ว่าอาจได้โอกาสลงสนามด้วยก็เป็นได้ โดยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า "แกเร็ธ เบล ต้องการที่จะบอกลา เขาต้องการงเล่น และผมก็คิดว่าเขาจะได้เดินทางไป ปารีส ด้วย"
ส่วนเรื่องของเหตุนั้นเดาไม่ยากเพราะ แกเร็ธ เบล ค่อนข้างมีสถิติที่ดีในการลงเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ ยิงได้ 3 ประตูจากการเข้าชิง 4 ครั้ง และทุกครั้งที่เขาได้ลงสนามก็มีสำคัญกับการพา เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ได้ทุกครั้ง บางทีในเกมนัดชิงปีนี้เราอาจได้เห็นโมเมนต์ที่น่าจดจำจากพี่แกอีกก็เป็นได้ ก่อนจะอำลาทีมไปในเดือนหน้านี้
วัดคม ซาลาห์ - เบนเซม่า
อีกหนึ่งสิ่งที่แฟนๆ ให้ความสนใจกันมากในเกมนัดนี้ก็คือการวัดความระหว่าง 2 ยอดดาวยิงนั่นก็คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ของ ลิเวอร์พูล และ คาริม เบนเซม่า ของ เรอัล มาดริด เดี๋ยวต้องมาดูกันว่าใครจะได้โอกาสเฉิดฉายมากกว่ากัน
คาริม เบนเซม่า ซัลโวไป 15 ประตูให้กับ เรอัล มาดริด ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นนี้ ถ้าเกิดพี่แกทำได้อีก 2 ประตูในเกมกับ ลิเวอร์พูล ก็จะทำสถิติเทียบเท่ากับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่เคยทำไว้ที่ 17 ประตูต่อ 1 ซีซั่นในฤดูกาล 2013-14 นอกจากนี้ยังมีลุ้นทำสถิติแซงหน้า โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ที่ (86 ประตูเท่ากัน) ขึ้นไปเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลอันดับ 3 ในรายการนี้ด้วย แถมยังมีโอกาสกลายเป็นผู้เล่นที่อายุมากที่สุดที่ทำประตูได้ในนัดชิง UCL ด้วยที่ตัวเลข 34 ปี 160 วัน นับเป็นผู้เล่นคนล่าสุดต่กจาก เปาโล มัลดินี่ ที่เคยทำไว้กับ เอซี มิลาน เมื่อปี 2005 ที่ตัวเลข 36 ปี 333 วัน
ส่วนทางฝั่ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็ไม่เบาเหมือนกันเพราะปีนี้เขาซัดไป 8 ประตูใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และตอนนี้เขาก็คือเจ้าของสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของ ลิเวอร์พูล กับการลงเล่นในถ้วยใบใหญ่ของเวทียุโรปที่ 33 ประตู ทั้งๆ ที่เพิ่งย้ายมาค้าแข้งที่ แอนฟิลด์ เมื่อปี 2017 นี่เอง
แชมป์ UCL ของ คาร์เล็ตโต้
คาร์โล อันเชล็อตติ ได้รับการยกย่องว่าเป็นกุนซือมากฝีมือและมากประสบการณ์มากที่สุดคนหนึ่งบนโลกลูกหนังยุคปัจจุบัน แน่นอนว่าในเรื่องของความสำเร็จก็กอบโกยมาแล้วทุกรายการในระดับสโมสร ส่วนในรายการระดับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เฮียแกเคยพา เอซี มิลาน เถลิงบัลลังก์แชมป์มาแล้ว 2 สมัยนั่นก็คือปี 2003 และ 2007 ส่วนกับ เรอัล มาดริดเจ้าตัวก็เคยพาทีมคว้าแชมป์มาแล้วเช่นกันเมื่้อปี 2014
ถ้าเกิด "คาร์เล็ตโต้" พา เรอัล มาดริด ล้ม เรอัล มาดริด ลงได้ในปีนี้เท่ากับว่าเจ้าตัวจะสร้างสถิติเป็นผู้จัดการทีมคนแรกบนหน้าประวัติศาตร์ที่คว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ / ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ 4 สมัยด้วยกัน
คล็อปป์ vs เรอัล มาดริด
บนเส้นทางสายกุนซือของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เจ้าตัวได้โอกาสเผชิญหน้ากับ เรอัล มาดริด มากที่สุดบนเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ 9 ครั้งรวมตั้งแต่สมัยอยู่กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จนถึงปัจจุบันกับ ลิเวอร์พูล แต่ก็มีสถิติที่ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่จากการพททีมชนะ 3 นัด แพ้ 4 นัด และเสมอ 2 นัด ซึ่ง 3 เกมที่เก็บชัยชนะได้นั้นเกิดขึ้นสมัยยังทำงานอยู่กับ "เสือเหลือง" ทั้งหมด มีเปอร์เซนต์พาทีมชนะอยู่ที่ 33 เปอร์เซนต์
นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อจาก ยูโรเปี้ยน คัพ มาเป็นยุคของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ทุกครั้งที่ เรอัล มาดริด ได้โอกาสตีตั๋วเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศพวกเขามีสถิติที่ขลังมากๆ จากการเก็บชัยชนะได้ 100 เปอร์เซนต์ ไล่ตั้งแต่ปี 1998 จนถึงปัจจุบันที่คว้าแชมป์ได้ถึง 7 สมัย เดี๋ยวต้องมาดูกันว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะหยุดสถิติอันเลวร้ายของตัวเองและยัดเยียดฝันร้ายให้กับ เรอัล มดาริด ได้หรือไม่ ?
HaMu Dos Santos