logo-heading

สองที่สุดของโลก ย้ายทีมทั้งคู่

มีเรื่องไม่คาดคิด และหนึ่งในเหตุการณ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกลูกหนัง ในรอบนับสิบปี เกิดขึ้นในช่วงก่อนฤดูกาลจะเริ่ม หลังมีนักเตะระดับหนึ่งในที่สุดของประวัติศาสตร์ฟุตบอลถึง 2 คน ย้ายทีมในตลาดเดียวกัน

โดยเฉพาะกับ ลิโอเนล เมสซี่ ที่ไม่เคยย้ายสโมสรมาตลอดอาชีพนับตั้งแต่เทิร์นโปร ก็กลับมีเหตุช็อคโลกหลัง บาร์เซโลน่า ประกาศว่าพวกเขาไม่สามารถต่อสัญญากับสตาร์รายนี้ได้ เนื่องจากหลัก ๆ คือเจ้าบุญทุ่มมีปัญหาเรื่องการเงิน จนเกิดเป็นภาพไม่คาดฝัน เมสซี่ ได้ย้ายไปสวมเบอร์ 30 กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง

และอีกคน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แม้การย้ายทีมของเขาทุกครั้ง คือโมเมนต์ใหญ่ของฤดูกาลเสมอ แต่ครั้งนี้มันพิเศษและน่าจุดจำ เพราะตอนแรก CR7 เกือบได้ย้ายอยู่กับ แมนฯ ซิตี้ อริของ ปีศาจแดง แล้ว ทว่าท้ายที่สุดก็ได้ “ป๋า” เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ช่วยกล่อม จึงทำให้เจ้าตัวได้รู้ใจตัวเอง และตัดสินใจย้ายกลับมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกครั้ง สองโคตรบิ๊กดีลนี้ จึงถือเป็นสิ่งที่ทำให้ซีซั่น 2021/22 ก่อนเริ่มตอนนั้น เป็นที่สนใจและน่าตื่นเต้นสำหรับแฟน ๆ เป็นอย่างมาก

ปีศาจแดง ลาขาด เฮียยิ้ม

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เป็นกุนซือที่ถูกขนานนามเรื่องจอมวนลูป เพราะยามใดที่ทีมเริ่มผลงานยำแย่ เขาก็มักจะพา แมนยู คัมแบ็คกลับมาเก็บชัย จนเซฟขาเก้าอี้ตัวเองได้เสมอ แต่ไม่ใช่อีกแล้วสำหรับซีซั่นนี้

หลังในช่วงซัมเมอร์ จัดหนักช็อปนักเตะระดับบิ๊กเนม บวกกับชื่อดังราคาแพงมาเสริมทีมจนถูกยกให้เป็นเต็ง 3 ร่วมกับ ลิเวอร์พูล มาแล้ว

แต่ผลงานกลับสร้างเซอร์ไพรส์ร้าย ๆ สวนทางดิ่งลงเหว จนครั้งนี้แย่หนัก ไม่สามารถหารูป-หาทรงที่จะกลับมาได้ จนโดนปลดหลังแพ้วัตฟอร์ดไปถึง 4 ประตู แต่ก็นับว่าบอร์ดบริหาร แมนยู นั้นให้เวลา โซลชา มากกกว่าใคร ๆ เแล้ว นับตั้งแต่หมดยุคป๋า

ก่อนจะต่อด้วยยุคสั้น ๆ ของบรมจารย์ ราล์ฟ รังนิค ที่คุมชั่วคราวเสมือนมาทิ้งระเบิดไว้แล้วก็จากไป เราก็ได้แต่หวังว่าปีหน้าฟ้าใหม่ หลัง ปีศาจแดง ปรับทั้งเรื่องหลังบ้าน และได้นายใหญ่คนใหม่อย่าง เอริค เทน ฮาก ก็จะสามารถพาสโมสรกลับมาคืนความสุข ให้สาวกเร้ด เดวิลส์ ได้บ้างอีกครั้ง

เสี่ยหมี จำใจต้องวางมือจาก เชลซี ที่รัก

เริ่มเกริ่นหัวข้อนี้ จากการประเดิมเปลี่ยนเจ้าของ ของอีกทีมร่วมพรีเมียร์ลีกอย่าง นิวคาสเซิล หลังได้กลุ่มทุนซาอุฯ เข้ามาเทคโอเวอร์ และจากสโมสรที่มี ไมค์ แอชลี่ย์ คอยสูบเลือดสูบเนื้อมานาน ในที่สุดก็ได้ลืมตาอาปาก กลายเป็นสโมสรที่มีเจ้าของรวยที่สุดในโลก ถือเป็นเรื่องที่สุดชื่นมื่นของสาวกทูน อาร์มี่ ในรอบหลายปี และมีโอกาสที่พวกเขาจะสร้างแรงสะเทือนให้วงการลูกหนังได้อีกครั้ง ในอนาคตอันใกล้นี้

ในขณะที่ฝั่ง เชลซี ก็เปลี่ยนเจ้าของเช่นกัน แต่แน่นอนมันเป็นเรื่องสุดเศร้า เมื่อพวกเขาต้องโบกมือลาหนึ่งในเจ้าของที่ดีสุดในประวัติศาตร์ฟุตบอลอย่าง โรมัน อบราโมวิช ด้วยเหตุมีเอี่ยวในเรื่องของสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ซี่งเราก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเรื่องนี้มันใหญ่ยิ่งกว่าฟุตบอลไปเยอะมาก แต่ก็ต้องยอมรับว่าวิธีการบีบคั้นบางอย่างใส่ เสี่ยหมี่ มันก็ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของสโมสรและแฟนบอล สิงห์บลูส์ แบบไม่ควร แต่อย่างน้อยที่สุด ทุกคนก็ผ่านมันมาได้

และ เชลซี ก็ได้เจ้าของใหม่เป็นกลุ่มทุนของ ท็อดด์ โบลี่ ที่เตรียมมอบงบให้ โธมัส ทูเคิ่ล เสริมทัพในตลาดนี้ถึง 200 ล้านปอนด์ และก็ดูทรงว่าพวกเขาน่าจะยังได้เจอเจ้าของที่ดี แต่จะให้เหมือนกับ อบราโมวิช จุดนี้ไม่ว่าทีมไหนก็อาจจะหาไม่ได้อีกแล้ว …

อิตาลี ไม่ได้ไปบอลโลก

มันมักจะมีเหตุการณ์ที่สโมสรใหญ่ ๆ หรือทีมชาติยักษ์ ๆ ตกม้าตายในการแข่งขันสำคัญทุกปี โดยปีนี้เป็นคิวของ อิตาลี ที่พึ่งสร้างความสุขขั้นสุดให้กับแฟน ๆ ด้วยการคว้าแชมป์ ยูโร 2020 ที่แข่งในปี 2021 ได้อย่างยอดเยี่ยม

ก่อนมาต่อด้วยการสะดุดช็อคโลก กับการแพ้ นอร์ธ มาซิโดเนีย คาถิ่น 1-0 ในเพลย์ออฟ ฟุตบอลโลก 2022 จึงทำให้เกิดเรื่องไม่น่าเชื่อ เพราะนั่นหมายความว่าชาติยักษ์ใหญ่แห่งประวัติศาสตร์ฟุตบอลอย่าง อิตาลี จะพลาดไม่ได้เล่นในบอลโลก รอบสุดท้าย ถึง 2 หนติด ทั้งในรอบปี 2018 และ 2022 ถือว่าน่าเหลือเชื่อและน่าเสียดายแทนจริง ๆ ครับ

ซูเปอร์เอเยนต์ ได้ล่วงลับ

หากจะให้แฟนฟุตบอลกล่าวถึงชื่อเอเยนต์ดัง ๆ สักคน แน่นอนว่าชื่อของ มิโน่ ไรโอล่า จะผุดขึ้นมาเป็นคนแรก ๆ ในความคิดของแทบทุกคน กับซูเปอร์เอเยนต์ที่มีความสามารถเป็นเลิศเรื่องการเจรจา และการหาผลประโยชน์สูงที่สุดให้กับนักเตะในสังกัดเขา

แต่ทุก ๆ คนล้วนต้องมีวันจากลา แม้มันจะยังเร็วเกินไปสำหรับชายคนนี้ หลังเขาได้จากโลกไปอย่างไม่คาดคิดด้วยวัย 54 ปีจากโรคประจำตัว แต่อย่างน้อย ๆ ชายคนนี้ ไรโล่า ก็ได้ฝากความทรงจำ และได้จารึกชื่อตัวเองเป็นหนึ่งในยอดเอเยนต์ที่เก่งที่สุดคนหนึ่งเท่าที่โลกเคยมีมาครับ

การกลับมาของ มิลาน

คำว่ายักษ์หลับในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา มักถูกหยิบยกมาใช้กับ “ปีศาจแดง-ดำ” เอซี มิลาน มากที่สุดแล้ว หลังจากที่ผ่านมา พวกเขาเคยเป็นยอดทีมครองทั้งลีกอิตาลีและรายการยุโรปมามากมาย จนได้จารึกประวัติศาสตร์ไปหลากสมัย

แต่จู่ ๆ ก็เกิดมาหยุดชะงัก ห่างหายจากตำราแชมป์เนิ่นนาน ถึงขนาดที่ไม่ได้สัมผัสกับโทรฟี่รายการใหญ่ ๆ มาเป็นสิบปี แต่มาในฤดูกาลนี้ รอสโซเนรี ไม่ใช่ยักษ์หลับอีกต่อไปแล้ว

เพราะพวกเขาได้คัมแบ็คกลับมา สร้างอีกสตอรี่ที่น่าจดจำด้วยการผงาดคว้าแชมป์ เซเรีย อา ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี และเป็นการกลับมามอบความสุขในรูปแบบของความสำเร็จให้กับแฟน ๆ มิลาน ได้อีกครั้ง พร้อมกับประกาศว่าพวกเขาคือยักษ์ใหญ่ที่กลับมาแล้ว!

บาเยิร์น แชมป์ บุนเดสฯ 10 ปีติด

ต่อให้ใครจะบอกว่า บาเยิร์น มิวนิค จะผูกขาด เป็นเต้ย-เป็นต่อทุกสโมสรในลีกเยอรมันมากขนาดไหน แต่เราไม่มีทางปฏิเสธได้หรอกครับ ว่าถ้าคุณไม่เก่งจริง ไม่ได้มีดีทั้งระบบบริหาร, โค้ช, นักเตะ, รวมถึงแฟนบอลที่คอยซัพพอร์ตอย่างแน่นแฟ้น คุณจะไม่มีทางเข้าใกล้กับโคตรความสำเร็จนี้ได้เลยด้วยซ้ำ

กับการคว้าแชมป์ บุนเดสลีกา ถึง 10 ปีติด หรือหนึ่งทศวรรษเต็ม ๆ และการเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ลีกใหญ่ยุโรปที่สามาถทำได้ และมันถือเป็นสถิติที่เราไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจะมีทีมไหนมาทำลายได้หรือไม่? เพราะฉะนั้นยังไง ก็ต้องถือเป็นเรื่องที่ควรยกนิ้วโป้งแบบทั้งสองมือให้กับความสำเร็จนี้ของทัพเสือใต้

แต่สโมสรแห่งนี้ก็ยังมีอีกโมเมนต์-เรื่องเด่นในปีนี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเขานะ เพราะ บาเยิร์น มีแนวโน้มสูงมาก ที่จะเสียหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ออกจากทีม ซึ่งถัดจากนี้เราก็จะต้องมารอดูกันครับ ว่า พี่เลวาน จะได้ย้ายไป บาร์เซโลน่า สมใจไหม และหากเกิดขึ้นจริงมันก็จะเป็นอีกโมเมนต์แห่งปีเช่นกัน

การขับเคี่ยวของ 2 ยอดสโมสรแห่ง พรีเมียร์ลีก

สองสโมสรที่ถูกแฟนฟุตบอลพูดถึงเรื่องการลุ้นแย่งแชมป์มากที่สุดในฤดูกาลนี้ คงหนีไม่พ้นสองบิ๊กแห่ง พรีเมียร์ลีก อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล

โดย เรือใบสีฟ้า ถูกยกให้เป็นเต็ง 1 ในทุกรายการที่ลงแข่งขัน แม้จะพลาดบอลถ้วย ด้วยการตกรอบรองชนะเลิศไป 2 รายการ โดยเฉพาะรายการที่พวกเขาเฝ้ารอมากที่สุดอย่าง แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่อย่างน้อย ซิตี้ ก็สามารถจบมาได้ด้วยการเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก ครั้งที่ 4 ในรอบ 5 ปีหลังสุด ก็ถือว่าสุดจริง ๆ ครับ

ส่วน ลิเวอร์พูล หลังจากเหมือนโดนปีโคตรชงในฤดูกาลก่อน จึงทำให้แทบไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะฟื้นตัวเร็วขนาดนี้ ถึงขนาดได้ลุ้น 4 แชมป์ แบบไปจนถึงนัดสุดท้ายในทุกรายการ และแม้จะพลาดคว้า พรีเมียร์ลีก ด้วยการตามหลังเพียงหนึ่งแต้ม และพลาด แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังไม่เฉียบคมพอในนัดชิง

แต่อย่างน้อย ๆ การได้ลุ้นถึง 4 แชมป์ยันนัดสุดท้าย ก็ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เราเห็นได้บ่อย ๆ ในโลกฟุตบอล และอย่างน้อยพวกเขาก็ได้ทั้งแชมป์ ลีก คัพ และ เอฟเอ คัพ มาประดับตู้ให้ หงส์แดง ยุค เจอร์เก้น คล็อปป์ สามารถคว้าแชมป์เมเจอร์ครบหมดแล้วในทุกรายการ

ต้องบอกว่าแม้จะเป็นฤดูกาลที่มีทั้งความสมหวัง และความผิดหวังของทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ แต่ยังไงเราก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า มันยังฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมของพวกเขา และถือเป็นอีกปรากฏการณ์ ที่เราสามารถเล่าสืบต่อให้กับลูกหลานฟังได้เลย สำหรับการขับเคี่ยวที่ยิ่งใหญ่ของสองสโมสรแห่งนี้

เบนเซม่า เจ๋งสุดในโลก, ราชันชุดขาว โคตรแห่งเจ้ายุโรป

แต่สโมสรที่ดูชื่นมื่นที่สุดในฤดูกาล เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เรอัล มาดริด จากที่เริ่มต้นซีซั่นด้วยการถูกมองข้ามไม่น้อย ทั้งจากนักเตะชุดหลักหลายคนที่เริ่มโรยรา ส่วนนักเตะดาวรุ่งในทีมก็พึ่งขึ้นมาพอมีชื่อ และไหนจะโค้ชอย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ ที่แม้จะประสบความสำเร็จเรื่อยมา แต่ก็ยังถูกแฟนบางส่วน มองว่าเป็นกุนซือตกยุคไปแล้ว

แต่ใช่ครับ ทุกคนรู้บทสรุปแล้วว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเลย ด้วยฝีมือที่ยังคงเป็นแนวหน้าวงการของ อันเช่ มาเจอกับชุดหลักที่อัดแน่นไปด้วยความเก๋าเกม ผสมกับอีกแรงขับเคลื่อนจากนักเตะรุ่นใหม่ กลายเป็นความลงตัว ก่อนจบด้วยการคว้า 2 แชมป์ใหญ่ ทั้ง ลาลีกา และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 14 ของพวกเขา ตอกย้ำแล้วย้ำอีก ถึงการเป็นสโมสรที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์รายการยุโรป

และทำให้ อันเชล็อตติ ได้กลายเป็นโค้ชคนแรกที่คว้าแชมป์ลีก ครบทั้ง 5 ลีกใหญ่ยุโรป และยังเป็นโค้ชคนแรกที่คว้าแชมป์ UCL ได้ถึง 4 สมัย ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะถูกบรรจุอยู่ในฐานะหนึ่งในโค้ชที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนัง

และนักเตะดาวเด่นที่สุดในฤดูกาล 2021/22 ก็อยู่ในทีมของพวกเขาเช่นกัน กับนักเตะผู้ถูกปรามาสว่าอยู่แต่ใต้เงาของซูเปอร์สตาร์คนอื่นมาตลอด แต่มาปีนี้เขาได้ฉายแววเด่นเหนือนักเตะทุกคนบนโลก ใช่ครับชายคนนั้นก็คือ คาริม เบนเซม่า ในวัย 34 ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ว่านี่แหละช่วงที่ดีที่สุดในอาชีพของนักเตะคนนี้

ทั้งครบเครื่องที่สุดเท่าที่กองหน้าคนหนึ่งจะมี ไม่ว่าจะเป็นการจบสกอร์ที่เฉียบคม รวมถึงการต่อบอลทำเกมที่ยอดเยี่ยม เนียนกริบ พร้อมมากับมาย-เซ็ท การเล่นเพื่อทีมเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นจุดที่น่าชื่นชมมาก ๆ และหาได้ไม่ง่ายสำหรับผู้เล่นระดับนี้ และใช่ครับ นี่คือว่าที่เจ้าของรางวัล บัลลงดอร์ หรือลูกบอลคำลูกถัดไป “คิง คาริม”

อนาคตของว่า 2 ว่าที่โคตรสตาร์ ได้บทสรุป

ทิ้งท้ายด้วยโมเมนต์ใหญ่ครั้งล่าสุด ซึ่งแม้มันจะเกิดขึ้นหลังจากฤดูกาลจบไปแล้ว แต่ก็ยังอยู่ก่อนที่เราจะจัดทำเรื่องนี้ขึ้นมา และมันก็น่าพูดถึงมาก ๆ  เราจึงขอถือวิสาสะจับรวมมาซะเลย กับการได้บทสรุปอนาคตของ 2 ยอดนักเตะตัวอนาคตที่สุดของวงการลูกหนังปัจจุบันอย่าง คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ และ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์

โดยจะไล่จากรายหลังที่ได้บทสรุปไปก่อน พร้อมร่วมสร้างวลีฮิต ตัวเดียวเสียวทั้งลีก เพราะพี่แกเล่นย้ายถูกทีม กับการไปซบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หนึ่งในยักษ์ใหญ่ที่สุดแห่งวงการลูกหนังปัจจุบัน

และเป็นทีมใครหลาย ๆ คนมักจะพูดว่าขาดแค่กองหน้า คือถึงจะไม่มีหน้าธรรมชาติดัง ๆ แต่พวกเขาก็ล่อแชมป์มามากมายนับไม่ถ้วน พอได้หัวหอกระดับก้องวงการคนนี้มา คงไม่พ้นยิงสลุตขุดเพิ่ม เอาเป็นว่าไปลุ้นกันว่า ฮาแลนด์ ในสีเสื้อฟ้าของเรือใบ จะไปสุดกว่านี้ถึงขนาดไหน

ส่วนรายถัดมา คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้ คนนี้ถึงขั้นก็สร้างเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ให้แฟนบอลอยู่เหมือนกัน หลังเป็นข่าวกับ เรอัล มาดริด ทีมในฝันของเขามานานนับปี จนมาปีนี้กับสัญญาที่กำลังจะหมด พร้อมมีข่าวออกมาตลอดปีว่าจะย้ายไป ราชันชุดขาว แน่ ๆ แล้ว

แต่นั้นแหละครับ เมื่อมันยังไม่ได้ข้อสรุป อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะกลายเป็นว่า เปแอสเช สามารถโน้มน้าว และทุ่มเงินก้อนโคตรจะใหญ่ให้ เอ็มบัปเป้ ต่อสัญญาได้สำเร็จ และมันแปลว่าเราจะได้ดูนักเตะรายนี้ได้เล่นร่วมกับ ลิโอเนล เมสซี่ โคตรซูปตาร์ต่อไป 

และก็ต้องมารอดูกันว่าถัดจากนี้ สองว่าที่นักเตะที่ถูกยกว่าจะก้าวมาครองโลกต่อจากยุค เมสซี่ และ โรนัลโด้ อย่าง ฮาแลนด์ และ บัปเป้ ฝั่งไหนจะไปได้ไกลกว่ากัน? รอติดตามกันยาว ๆ เลยครับ

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline