ไม่รู้ว่าสุดท้าย "ปีศาจแดง" จะประสบความสำเร็จไหมกับการล่าลายเซ็น เฟรงกี้ เดอ ยอง แต่วันนี้สิ่งที่ "ขอบสนาม" อยากนำเสนอกก็คือ การพาทุกท่านไปเจาะลึกดูกันว่า ที่ผ่านมามีนักเตะคนไหนบ้างที่เคยค้าแข้งกับทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม
แฟร้งค์ สตาเปิลตัน
ตำนานกองหน้าทีมชาติไอร์แลนด์ แฟร้งค์ สตาเปิลตัน เคยลงเล่นเกมลีกให้ อาร์เซน่อล ไปเกินกว่า 200 นัดในช่วงยุค 70 เช่นเดียวกับตอนย้ายมาค้าแข้งต่อกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงยุค 80 ก็ได้ลงเล่นไปมากกว่า 200 เกมเช่นกัน อย่างไรก็ตามเมื่อการเข้ามาของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานบรมกุนซือผู้ยิ่งใหญ่เมื่อปี 1986 แทนที่ รอน แอตกินสัน แกได้จัดการวางระบบแผนทัพ "ปีศาจแดง" ใหม่หมด และสำหรับ แฟร้งค์ สตาเปิลตัน ก็เป็นหนึ่งในนักเตะที่หลุดโผจากแผนการทำทีม
นั่นทำให้ แฟร้งค์ สตาเปิลตัน ต้องเก็บข้าวของเช็คเอาท์จากรั้ว โรงละครแห่งความฝัน โดยไปอยู่กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในยุคของ โยฮัน ครัฟฟ์ ปี 1987 แต่ก็เหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จจากการได้ลงเล่นไปแค่ 6 นัดและยิงได้เพียงประตูเดียว ก่อนที่แกจะตัดสินใจย้ายทีมต่ออย่างไวไปอยู่กับ อันเดอร์เลชท์ ในช่วงปลายปีดังกล่าว
อาร์โนลด์ มูห์เรน
ว่ากันว่า อาร์โนลด์ มูห์เรน เป็นคนที่สนับสนุนและเชียร์ให้ โยฮัน ครัฟฟ์ เดินเรื่องคว้าตัว แฟร้งค์ สตาเปิลตัน มาจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งตัวของ มูห์เรน เองก็เคยเป็นศิษย์เก่าของ รอน แอตกินสัน มาก่อนที่ "ปีศาจแดง" ช่วงปี 1982 ซึ่งเป็นช่วงที่เคยคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ร่วมกัน ทว่าตัวของอดีตมิดฟิลด์ชาวดัตช์นั้นย้ายมาอยู่กับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ก่อนในปี 1985
เดิมที อาร์โนลด์ มูห์เรน เคยเป็นนักเตะเก่าของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม มาก่อนในช่งปี 1971-74 ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ ทเวนเต้ และ อิปสวิช ตามลำดับ จนมาลงเอยกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในช่วงปี 1982 ซึ่งในการค้าแข้งที่ อัมสเตอร์ดัม อารีน่า คำรบแรกเจ้าตัวคว้าแชมป์ได้มากมายทั้ง เอเรดิวิซี่ ฮอลแลนด์ 2 สมัย, ดัตช์ คัพ 1 สมัย รวมไปถึง ยูโรเปี้ยน คัพ และ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ อย่างละ 1 สมัย และในปัจจุบันกับวัย 71 ปีเจ้าตัวกำลังทำหน้าที่เป็นโค้ชเยาวชนให้ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม
เยสเปอร์ โอลเซ่น
นี่คือผู้เล่นคนแรกเลยที่ได้โอกาสย้ายทีมโดยตรงจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากโชว์ฟอร์มได้ดีใน ฮอลแลนด์ ในปี 1984 เยสเปอร์ โอลเซ่น ก็ย้ายมาอังกฤษด้วยค่าตัว 350,000 ปอนด์พร้อมกับถูกวางไว้เป็นตัวแทนของ อาร์โนลด์ มูห์เรน ในตำแหน่งปีกซ้าย นับเป็นผู้เล่นต่างชาติส่วนน้อยที่ได้โอกาสเล่นในอังกฤษในยุคนั้น เขาทำไปทั้งหมด 24 ประตู ตลอดช่วง 4 ปี มีประตูที่น่าจดจำไม่น้อยอาทิเช่นการทำแฮตทริกใส่ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ในปี 1986 เป็นต้น และก็คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้ 1 สมัยในปี 1985
อย่างไรก็ตามในปี 1986 เยสเปอร์ โอลเซ่น เกิดมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง เรมี่ โมเซส จนทำให้เขานั่นมีชื่อติดโผผู้เล่นที่อาจโดนหั่นออกจากทีมในยุคของ รอน แอตกินสัน ถึงแม้ในเวลาต่อมา แอตกินสัน จะโดนสั่งปลด แต่ในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เจ้าตัวก็อยู่ได้ไม่นานเพราะติดปัญหาเรื่องการปรับตัวและแท็คติกของโค้ชคนใหม่ก่อนจะกลับบ้านเกิดที่ เดนมาร์ก ในปี 1988
ยาป สตัม
ถึงจะอยู่ค้าแข้งที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้ในระยะเวลาแค่ 3 ปีเท่านั้นแต่ถ้าคุณจะถามถึงหนึ่งในผู้เล่นปราการหลังที่แข็งแกร่งที่สุดบนหน้าประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก รวมไปถึงในระดับสโมสรกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แน่นอนว่าจะต้องมีชื่อของ ยาป สตัม ติดโผมาหนึ่งร้อยเปอร์เซนต์ เขาได้ลงเล่นไป 127 เกม ยิงได้ 1 ประตู นับเป็นส่วนสำคัญที่พาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้ 3 สมัยติดต่อกัน รวมไปถึงทริปเปิ้ลแชมป์เมื่อปี 1999 ด้วย
ถึงแม้ก่อนจะย้ายมาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ทาง ยาป สตัม จะเคยค้าแข้งอยู่กับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น มาก่อน แต่ ณ โมเมนต์ช่วงที่เจ้าตัวตัดสินใจอำลาอาชีพค้าแข้งเขาได้ประกาศแขวนสตั๊ดกับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เมื่อปี 2008 พร้อมกับฝากผลงานเอาไว้ด้วยการลงเล่น 52 นัด และคว้าแชมป์ ดัตช์ คัพ 1 สมัย และ โยฮัน ครัฟฟ์ ชิลด์ อีก 2 สมัยด้วยกัน
เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์
จากช็อตลื่นล้มของ จอห์น เทอร์รี่ บวกกับเซฟจุดโทษของ นิโกล่าส์ อเนลก้า นั่นคือหนึ่งในภาพความทรงจำที่แสนพิเศษของ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เพราะน้าแกคือฮีโร่ที่พา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เถลิงบัลลังก์แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยล่าสุดได้เมื่อปี 2008 ถึง น้าซาร์ จะอยู่กับทีมแค่ไม่นานแต่ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ลงเล่นไป 266 เกม เก็บไป 135 คลีนชีท นับเป็นสถิติที่น้อยคนนักจะทำได้
แน่นอนว่าครั้งหนึ่ง เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ก็เคยเป็นเด็กเก่าของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เช่นกัน เขาแจ้งเกิดขึ้นมาจากที่นั้น โดยได้ลงเฝ้าเสามาอย่างยาวนาน 9 ฤดูกาล ได้ลงเล่นไป 300 กว่านัด และเก็บไปได้ถึง 139 คลีนชีท และก็กอบโกยแชมป์ได้มากมายซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยล่าสุดของสโมสรเมื่อปี 1995 และด้วยความยิ่งใหญ่และเป็นตำนานของ น้าซาร์ จึงไม่แปลกที่ตอนนี้แกจะดำรงตำแหน่งเป็นซีอีโอของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม
ดาลี่ย์ บลินด์
มีศีกดิ์เป็นลูกชายของตำนานแข้งดังอย่าง แดนนี่ บลินด์ แต่เส้นทางที่ผ่านมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จไม่ได้น้อยหน้าคนเป็นพ่อเลยสำหรับ ดาลี่ย์ บลินด์ โดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่พา อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ครองความยิ่งใหญ่เป็นสโมสรเบอร์ 1 ของ ฮอลแลนด์ กอบโกยแชมป์ได้ 6 โทรฟี่ในระยะเวลา 4 ปี ถ้าเกิดรวมช่วงค้าแข้งคำรบแรกด้วยแล้วตั้งแต่ปี 2008-14 ได้ลงเล่นรวมกันไปมากกว่า 300 นัด ต้องบอกเลยว่ามีความสำเร็จมากกว่านี้อีกมาก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาตอนนี้พี่แกจะถูกจดจำไว้แล้วว่าเป็นหนึ่งในตำนานคนหนึ่งของสโมสร
ส่วนประสบการณ์บนสังเวียน พรีเมียร์ลีก ทาง ดาลี่ย์ บลินด์ ก็เคยได้สัมผัสมาเช่นกัน เพราะในปี 2014 เจ้าตัวถูกเจ้านายเก่าอย่าง หลุยส์ ฟาน ดึงตัวไปร่วมงานกันอีกครั้ง ถึงจะมีช่วงเวลาที่ไม่ค่อยเท่าไหร่ตลอด 4 ปี แต่ก็มีโมเมนต์ที่น่าจดจำอยู่เหมือนกัน และก็เป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ที่สามารถยืนได้หลายตำแหน่ง และก็ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ได้ 4 โทรฟี่ด้วยกันจากการลงเล่น 141 นัด
ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค
ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค คือนักเตะของ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม คนล่าสุดที่ได้โอกาสย้ายมาค้าแข้งกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยย้ายมาเมื่อช่วงซัมเมอร์ปี 2020 ด้วยค่าตัว 40 ล้านปอนด์ หลายๆ คนคาดหวังว่าไอ้เด็กคนนี้ต้องเฉิดฉายเหมือนค้าแข้งอยู่กับทีมเก่าแน่นอน แต่ผลปรากฏว่าไม่ใช่แบบนั้น เพราะนอกจากจะมีปัญหาในเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับฟุตบอลอังกฤษแล้วเจ้าตัวยังไม่อยู่ในแผนการทำทีมของกุนซืออย่าง โอเล กุนนาร์ โซลชา รวมไปถึง ราล์ฟ รังนิค ด้วย
เช่นเดียวกับปีล่าสุดกับการย้ายไปอยู่ เอฟเวอร์ตันชะตากรรมของ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ก็ไม่ต่างจากเดิม เพราะพี่แกก็ยังไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ได้ เดี๋ยวต้องมาดูว่าในยุคของ เอริค เทน ฮาก ที่เคยเป็นเจ้านายคนเก่านั้นเขาจะช่วยชุบชีวิตนักเตะรายนี้ให้กลับมาเกิดใหม่ได้อีกครั้งหรือไม่ ?
ซลาตัน อิบราฮิโมวิช
การค้าแข้งกับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม นับเป็นจุดเริ่มที่ทำให้คนในวงการฟุตบอลได้รู้จักกับชายที่ชื่อ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช พี่แกคือคนที่ฉายแววการเป็นเพชรฆาตมาตั้งแต่สมัยนั้นช่วงปี 2001 ก่อนจะค่อยๆ พัฒนาและยกระดับตัวเองขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะฟอร์มการระเบิดสกอร์ ไม่ว่าจะเป็นการค้าแข้งกับทีมที่ใหญ่ขนาดไหน เจอความกดดันและความท้าทายมากขนาดไหนก็ไม่สามารถทำอะไรผู้ชายคนนี้ได้เลย
ตอนยย้ายมาค้าแข้งกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2016 ด้วยช่วงวัยราวๆ 35 ปี ใครหลายคนตั้งข้อกังขาเอาไว้มากมายว่าพี่แกจะไหวไหม ? ด้วยเรื่องของอายุและการแข่งขันของลีกที่สูงมากๆ แต่ผลปรากฏว่าในซีซั่น 2016-17 เขากลับกลายเป็นผู้เล่นเบอร์ 1 ของทีม เป็นคนที่หวังผลได้มากที่สุด และในเกมสำคัญๆ ก็จะขาดเขาไม่ได้จริงๆ เพราะแค่เพียงปีเดียว "เดอะ ก็อด" คนนี้ช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้า 2 แชมป์ทั้ง คาราบาว คัพ และ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก จากโปรไฟล์การซัดไป 28 ประตูจากการลงเล่น 46 เกม
หลังจากนั้นการพเนจรย้ายไปอยู่กับ แอลเอ กาแล็คซี่ ด้วยอายุที่มากขึ้นฟอร์มการถล่มประตูก็ยังโหดเหมือนเดิม จนกระทั่งตอนนี้กับ เอซี มิลาน การซัดไป 36 ประตูจาก 74 เกมซึ่งมีค่าเฉลี่ยยิง 1 ประตูต่อ 2 เกมก็ถือว่าไม่ได้เลวเลยสำหรับนักเตะวัย 40 ปี ถึงปีล่าสุดจะเจ็บบ่อยและไม่ค่อยได้ลงสนามแต่ก็ถือมีส่วนสำคัญที่ช่วยทัพ "รอสโซเนรี่" คว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช จะได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดบนหน้าประวัติศาสตร์ลูกหนัง
HaMu Dos Santos