สาดส่องสายตาไปที่ข่าวของทัพ "ปีศาจแดง" ในช่วงที่ผ่านมากระแสแรงหน่อยคงต้องยกให้กับ เฟรงกี้ เดอ ยอง ที่กลายเป็นอีกดีลระดับมหากาพย์เล่นแง่ระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับ บาร์เซโลน่า โดยเฉพาะเรื่องของตัวเงินที่ยังไม่ได้ข้อสรุป
ซึ่งในเรื่องของตำแหน่งมิดฟิดล์กลายเป็นโจทย์แรกๆ ที่กุนซือคนใหม่อย่าง เอริค เทน ฮาก อยากจะรีบปรับแก้ไขอย่างเร่งด่วน มันกลายเป็นทีมถูกนำไปเชื่อมโยงกับกองกลางหลายคนไม่ว่าจะเป็น รูเบน เนเวส, วิตินญ่า หรือ อาเดรียง ราบิโอต์
แต่ทว่าภายใต้กระแสนักเตะใหม่หนึ่งในแข้งลูกหม้อของทีมอย่าง เจมส์ การ์เนอร์ ก็ถูกนำเสนอชื่อว่าให้ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมได้แล้ว ภายหลังทำผลงานได้อย่างโดดเด่นกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เมื่อช่วงฤดูกาลที่ผ่านมา เป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการพาทัพ "เจ้าป่า" กลับคืนสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง
และแน่นอนด้วยผลงานที่ขึ้นหม้อแบบสุดๆ ย่อมทำให้แฟนบอล ยูไนเต็ด ต่างคาดหวังว่า การ์เนอร์ จะก้าวขึ้นมาเป็นอนาคตของทีมนับตั้งแต่ฤดูกาลหน้าเป็นต้นไป เพื่ออย่างน้อยจะได้ช่วยทีมปิดช่องว่างในการตามหากองกลางคนที่ใช่สำหรับทีมเสียที
เพราะถ้าเราลองมองย้อนกลับไป แมนฯ ยูไนเต็ด ดูจะมีปัญหากับตำแหน่งดังกล่าวพอสมควรนับตั้งแต่ พอล สโคลส์ ประกาศอำลาสนามไป นักเตะหลายคนถูกดึงตัวเข้ามาไม่ว่าจะเป็น มารูยาน เฟลไลนี่, อังเดร เอร์เรร่า, มอร์แกน ชไนเดอร์ลิน, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, เนมานย่า มาติซ, เฟร็ด หรือ ปอล ป็อกบา ซึ่งจากจำนวนดังกล่าวมีเพียบไม่กี่รายที่สอบผ่าน และถ้าวัดจากจำนวนเงินที่ลงทุนไปหลายร้อยล้านยิ่งทำให้ละเหี่ยใจไปมากกว่าเดิม
วกกลับมาเรื่องของ เจมส์ การ์เนอร์ เจ้าตัวได้รับโอกาสกับทีมชุดใหญ่ของทัพ "ปีศาจแดง" ครั้งแรกในยุคของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ซึ่งตอนนั้นเจ้าตัวเพิ่งมีอายุเพียง 17 ปี เท่านั้น ซึ่งนายใหญ่ชาวนอร์เวย์ได้ออกปากชื่นชมแข้งรายนี้ว่า
"ผมเชื่อว่าเขามีโอกาสที่จะมีอนาคตที่ดี เขารู้ว่าเราเชื่อในตัวเขา เรามีศรัทธาในตัวเขามากในฐานะ ไมเคิ่ล คาร์ริค คนต่อไป ผมรู้ว่าเขายังเด็ก และรู้ว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับเด็กๆ ที่จะเปรียบเทียบกับผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมอย่าง คาร์ริค แต่เขาก็เป็นคนในรูปแบบเดียวกัน"
ชื่อของ การ์เนอร์ ได้รับโอกาสลงสนามในสีเสื้อของ ยูไนเต็ด ไปเพียงแค่ 7 เท่านั้นในทุกรายการ ฉะนั้นโอกาสที่เหมาะสมสำหรับดาวรุ่งแบบเขาคือการถูกปล่อยไปเก็บประสบการณ์ และเสริมกระดูก เฉกเช่นเมื่อฤดูกาล 2020-21 ที่ถูกปล่อยไปให้ วัตฟอร์ด ยืมตัว ก่อนที่จะมาถึงคิวของ ฟอเรสต์ ที่ได้อาวุธ ในแดนกลางไปเสริมแกร่ง
มองภาพที่ฤดูกาลล่าสุดแบบเพียวๆ ต้องยอมรับว่า การ์เนอร์ คือหนึ่งในนักเตะที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นมากที่สุด ไม่ใช่เพียงกับ ฟอเรสต์ แต่รวมไปถึงสั่นสะเทือน แชมเปี้ยนชิพ เลยก็ว่าได้
"เขายอดเยี่ยมเอามากๆ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เขาเป็นผู้เล่นที่มีประสิทธิภาพสูงในทีม เขาได้รับโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่องสำหรับเราเขาสามารถพิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างประโยชน์ให้กับทีมได้จริงๆ" สตีฟ คูเปอร์ กุนซือของ ฟอเรสต์ กล่าวถึงลูกทีมรายนี้
จุดเด่นของ การ์เนอร์ คือการตัดเกมที่มีคุณภาพ แถมครอบคลุมไปด้วยการจ่ายบอลได้อย่างชาญฉลาด ก่อนนำมาซึ่ง 10 แอสซิสต์ เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ทั้งที่บทบาทของเขาส่วนใหญ่ถูกมอบหมายงานให้เป็นกองกลางที่คอยสกรีนบอลอยู่หน้าแผงกองหลังของทีม
"สำหรับผม เขามีคุณลักษณะทั้งหมดที่จำเป็นเขาครองบอลได้ดีมาก โดยทางเทคนิคแล้วระยะการผ่านของเขานั้นยอดเยี่ยม แต่เขาก็มีอีกด้านที่เป็นแนวรับ"
"ผมคิดว่าเขาไม่ได้รับเครดิตมากพอ แต่เขาเล่นเกมรับได้ดีจริงๆ เขาครอบคลุมมาก เข้าสกัดได้เยอะมาก และคุณต้องการสิ่งนั้น" แจ็ค โคลแบ็ค แข้งเพื่อนร่วมทีม ฟอเรสต์ กล่าวยกย่องเจ้าหนูรายนี้
ฉะนั้นแล้วด้วยผลงานที่สัมผัสได้ไม่แปลกที่แฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด จะเรียกร้องให้ เอริค เทน ฮาก ลองได้ใช้ดาวเตะรายนี้ดูในฤดูกาลหน้า เพราะด้วยตำแหน่งของเขาคือกองกลางตัวรับ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทีมตามหามาตลอดในช่วง 2-3 ปีหลัง ไม่แน่ การ์เนอร์ อาจเป็นจิ๊กซอว์ที่ลงล็อค และคือคนที่ตามหาชนิดที่ไม่ต้องไปมองหา หรือใช้เงินก้อนโตคว้านักเตะใหม่เข้าสู่ทีม
แต่ทว่าหนึ่งในสิ่งที่คล้ายภาพลวงตา คือต้องยอมรับว่ามาตรฐานฟุตบอลของลีกรองอย่าง แชมเปี้ยนชิพ กับพรีเมียร์ลีก นั้นค่อนข้างห่างกันลิบลับ ฉะนั้นนักเตะฟอร์มดีจากลีกระดับล่าง ที่เฉิดฉายมาตลอดฤดูกาล แต่ก็มาตกม้าตายทันทีพอได้ลิ้มรสความเข้มข้นของลีกสูงสุด
ตัวอย่างที่มีให้เห็นมีอยู่บ่อยครั้ง ยกตัวอย่างให้พอเห็นภาพอย่าง อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช ที่พอได้ลงเล่นใน แชมเปี้ยนชิพ กับ ฟูแล่ม ระเบิดฟอร์มดาวยิงชนิดที่ไม่มีใครมาหยุดเขาได้อยู่ แต่พอเลื่อนชั้นมาสู่พรีเมียร์ลีก หลับเงียบเป็นเป่าสาก เล่นไม่ออก ทำประตูไม่ได้ กลายเป็นกองหน้าเกรดธรรมดาๆ คนหนึ่งเพียงชั่วพริบตา
ซึ่งในเคสของ การ์เนอร์ ด้วยวัยที่เพิ่ง 21 ปี แน่นอนว่าถ้าถามหาอนาคตภายใต้เครื่องแบบ "ปีศาจแดง" ณ ตอนนี้ย่อมมีมากกว่า 50% เพราะด้วยอายุ, ผลงาน และ การพัฒนาฝีเท้า ย่อมอยู่ในสายตาของ เทน ฮาก และเหล่าทีมงานสต๊าฟฟ์อยู่แล้ว
ถ้าทีมไม่ได้รีบร้อนอะไรเพื่อเป็นการพิสูจน์ตัวเองของ การ์เนอร์ บางทีการที่ ยูไนเต็ด ยอมปล่อยยืมตัวออกไปอีกครั้งกับทีมในศึกพรีเมียร์ลีก ซึ่งอาจจะเป็น ฟอเรสต์ ก็ได้ เพื่อจะได้ลดความกดดันของนักเตะ และไม่เป็นการแบกความหวังมากจนเกิน คงเป็นบททดสอบครั้งสำคัญว่าเขาจะเอาตัวรอดจากเหล่า เสือ, สิงห์ หรือ กระทิง บนลีกสูงสุดได้หรือไม่
เรื่องของอนาคตคือสิ่งที่ไม่อาจตอบคำถามได้ แต่ปัจจุบันทางออกอย่างที่กล่าวไปน่าจะพอเป็นตัวชี้วัดได้ว่าตัวของดาวรุ่งอย่าง การ์เนอร์ จะผ่านบททดสอบไปได้หรือไม่
ถ้าผ่านอนาคตกับ ยูไนเต็ด ย่อมสดใสมากกว่าเดิม แต่ถ้าสอบตกบางทีก็อาจต้องขัดเกลากันต่อไป
แต่ที่น่าสนใจคือ เทน ฮาก จะตัดสินใจทางไหนในการหนุนหลังแข้งรายนี้สำหรับฤดูกาลที่กำลังจะรูดม่านเปิดฉากขึ้น
- Paolinho -