logo-heading

ไขข้อสงสัย ! รอยสักเดิม ซลาตัน หายไปไหน ?

รอยสัก คือแฟชั่นทางด้านศิลปะที่ได้ความนิยมฮอตฮิตอย่างมากจากผู้คนทั่วทุกวงการ มันบันเป็นการบันทึกเรื่องราวและความทรงจำบนเรือนร่างที่จะสะท้อนให้เห็นถึงความชื่นชอบ ไลฟ์สไตล์ ความหลงใหลในสิ่งต่างๆ รวมไปถึงแบล็คกราวน์ชีวิตที่ผ่านๆ มา

ปัจจุบันก็มีนักกีฬาเกินกว่า 90 เปอร์เซนต์ที่มี รอยสัก อยู่บนร่างกายและแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็มีชื่อของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ตำนานยอดดาวยิงจอมเก๋าวัย 40 ปีชาวสวีเดน จากสโมสร เอซี มิลาน อยู่ด้วยซึ่งครั้งหนึ่งพี่แกเคยตั้งนิยามให้กับเรื่อง รอยสัก เอาไว้ว่า "การสักก็เหมือนกับยาเสพย์ติด"

ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เริ่มหลงใหลในเรื่องของ รอยสัก และเริ่มประทับรอยบนเรือนร่างครั้งแรกก็สมัยค้าแข้งอยู่กับ ยูเวนตุส เมื่อช่วง 17-18 ปีที่แล้ว และจากนั้นก็ค่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันในวัยที่เข้าสู่หลักสี่ขอบอกเลยว่า รอยสัก บนตัวพี่แกนั้นนับไม่ถ้วนจริงๆ และในแต่ละ รอยสัก ของเจ้าของฉายา "เดอะ ก็อด" นั้นก็แฝงไปด้วยความหมายๆ ดีๆ ลึกซึ้ง และกินใจมากมาย

อย่าง รอยสัก แรกสมัยอยู่กับ ยูเวนตุส นั้นอยู่บริเวณหน้าท้องโดยสักเป็นชื่อของตัวเองและใช้ลายเส้นสีขาวซึ่งรอยนี้ ซลาตัน ได้พูดถึงมันเอาไว้ว่า "รอยสักแรกของผมนั้นเป็นลายเส้นสีขาว มันอาจจะเห็นยากไปสักหน่อย (เพราะจะเห็นต่อเมื่อผิวกายนั้นเริ่มเป็นสีแทนเท่านั้น)"

ไขข้อสงสัย ! รอยสักเดิม ซลาตัน หายไปไหน ?

รอยสัก รูปราชสีห์บริเวณแผ่นหลังนั้นดูเหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตัวของ ซลาตัน นั้นเปรียบเปรยตัวเองว่าเป็น พระเจ้า หรือเป็นผู้นำดั่ง ราชสีห์ แน่นอนว่านอกจากเรื่องของศักยภาพฝีเท้าแล้วเรื่องฝีปากนั้นก็ไม่เคยเป็นสองรองใครเหมือนกัน และประโยควลีเด็ดที่เรามักคุ้นหูและได้ยินจากพี่แกบ่อยๆ นั่นก็คือ "ราชสีห์ไม่ได้ฟื้นตัวเหมือนมนุษย์ ราชสีห์ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับมนุษย์" นั่นแหละคือที่มาของ รอยสัก ลายดังกล่าว

และเมื่อใดก็ตามที่ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เฉิดฉาย ยิงประตูสวยๆ งามๆ ได้มากมาย รวมไปถึงการสร้างสิ่งที่แตกต่างและเรื่องราวมหัศจรรย์บนสังเวียนฟลอร์หญ้าพี่ท่านจะยกตัวเองเปรียบดั่ง "เทพเจ้า" แน่นอนว่าแฟนบอลเองก็เห็นด้วยและไม่มีใครกล้าตั้งข้อกังขาในตัวเขา ซึ่งอีกหนึ่ง รอยสัก ที่ได้แสดงความหมายถึงด้านนี้ก็คือ "Only God Can Judge Me" บริเวณซี่โครงด้านขวา

นี่คือหนึ่งในชื่อของ ทูแพ็ค อดีตศิลปินแร็ปเปอร์ที่อำลาโลกใบนี้ไปแล้ว ซลาตัน ให้เหตุผลที่ชอบเนื้อหาของเพลงนี้ว่า "มันเป็นคำจากเพลงของแร็ปเปอร์ ทูแพ็ค พวกเขาจะเขียนอะไรก็ได้ในกระดาษหรือแม้กระทั่งแหกปากอะไรก็ได้บนเวที ไม่มีใครสามารถมาตัดสินพวกเขาได้นอกจากพระเจ้า ผมชอบมันมากๆ เลย"
 
ถึงแม้ในวัยเด็กตัวของ ซลาตัน เองจะดูถูกมองเป็นเด็กเกเร เป็นไอ้หัวขโมย และไม่มีทางประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ก็เขาก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าพี่สามารถเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้ในชีวิตจนกลายเป็น ซลาตัน อิบราฮิโมวิช อย่างที่เป็นทุกวันนี้ และ รอยสัก ที่สะท้อนให้เห็นถึงแบล็คกราวน์ของเรื่องนี้ก็คือ รอยสัก รูป ปลาคาร์ฟ ที่ถูกนิยามว่าเป็นปลาที่ว่ายทวนน้ำ ซลาตัน เคยพูดไว้ในหนังสือของเขาว่า "ผมชอบปลาชนิดนี้เพราะมันชอบทำอะไรสวนกระแสเหมือนผม" รวมไปถึงรอยสักบริเวณ มังกรแดงบริเวณชายโครงด้านล่างที่แสดงให้เห็นถึงความ "นักรบ"

ไขข้อสงสัย ! รอยสักเดิม ซลาตัน หายไปไหน ?

อย่างที่เห็นกันว่า รอยสัก แต่ละรอยนั้นความหมายมันยอดเยี่ยมและกินใจขนาดไหน แต่มันยังไม่หมดแค่นั้น มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า หลังจากล่าสุดที่เราได้เห็นพี่ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช อ้วนหุ่นสุดเฟิร์ม กล้ามเป็นมัดๆ ซิกแพ็คแน่นปั๊กในวัย 40 ปี เรียกได้ว่าหุ่นโคตรฟิตขนาดเด็กๆ วัยรุ่นยังจะต้องกราบ

ไขข้อสงสัย ! รอยสักเดิม ซลาตัน หายไปไหน ?

แต่นั่นแหละครับ มันก็มีเครื่องหมายคำถามตามมาเกี่ยวกับ รอยสัก ที่หายไป ? รอยสัก ที่ดูเลอะเทอะ เหมือนเป็นชื่อคนมากมายเต็มตัวเขา คำถามคือ นั่นคือ รอยสัก ที่สื่อถึงอะไร และมันหายไปไหนแล้วล่ะ ?

รอยสักนี้ ได้ปรากฏสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรกสมัยที่ยังค้าแข้งอยู่กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง โดยเกมที่เสมอกับ ก็อง 2-2 ประตู ซลาตัน อิบราฮิโมวิช มีชื่อเป็นหนึ่งในผู้ที่ทำประตูได้ แต่ก็โดนใบเหลืองไปโทษฐานถอดเสื้อฉลอง ก่อนจะอวดรอยสักที่เป็นชื่อคนกว่า 50 ชื่อบนเรือนร่าง และนั่นก็เป็นประเด็นที่ทำให้ผู้คนสงสัยว่าความหมายและที่มาของมันคืออะไร ?

อย่างไรก็ตามหลังจบเกม กองหน้าวัย 33 ปี ก็ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า "ในคืนวันเสาร์ที่เราเจอกับ ก็อง หลังจากผมฉลองประตูด้วยการถอดเสื้อ ทุกคนก็เข้ามาถามผมว่ารอยสักเหล่านั้นคืออะไร" 

"ผมสักรายชื่อของคน 50 คนลงบนตัวชั่วคราว และรอยสักเหล่านั้นก็เป็นชื่อจริงๆ ของคนที่กำลังเผชิญกับความลำบากจากการอดอาหารในทั่วทุกมุมโลก มีคนประมาณ 805 ล้านคนทั่วโลกที่กำลังเผชิญกับปัญหาการอดอยาก ผมอยากให้พวกคุณเห็นข้อเท็จจริงเหล่านั้นผ่านตัวผมเพื่อช่วยเหลือ World Food Programme ตอนนี้รอยสักของผมได้จางหายไปแล้ว แต่ผู้คนเหล่านั้นยังคงลำบากกันอยู่"

นักฟุตบอลชื่อดังหลายๆ คนนั้นต่างก็เติบโตและผ่านชีวิตที่ยากลำบาก ต้องเจอกับยากจนอดอยากมาตั้งแต่เกิดทั้งนั้นซึ่ง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ก็คือหนึ่งในนั้น และด้วยความที่พี่แกเคยประสบการณ์ตรงนี้มาแบบเต็มๆ ก็เข้าใจถึงความรู้สึกของคนเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี จึงอยากรับหน้าที่เป็นกระบอกเสียง แจ้งสารให้กับชาวโลก ช่วยกันรณรงค์ให้เห็นใจ ให้ความสำคัญและเรียกร้องให้ทุกองค์กรบนโลกนั้นหยิบยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาตรงนี้ 

เรียกได้ว่านอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในฟุตบอลที่ดีและเก่งที่สุดในโลกแล้ว ซลาตัน อิบราฮิโมวิช คนนี้ยังได้ชื่อว่าบุคคลที่ยอดเยี่ยมและใจบุญสุดๆ อีกด้วย นี่แหละคือบุคคลดีเด่นที่ควรเอาเยี่ยงอย่างเป็นอย่างยิ่ง

HaMu Dos Santos

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline