logo-heading

ซึ่งนี่คือโทรฟี่ความสำเร็จระดับเมเจอร์ครั้งแรกของพวกเธอที่สามารถคว้ามาครองได้ โดยก่อนหน้าไปได้ไกลสุดแค่รองแชมป์ยูโร 2 ครั้ง คือเมื่อปี 1984 กับ 2009 เท่านั้น ก่อนจะมาประสบความสำเร็จในอีก 13 ปีให้หลัง

ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราจะไปได้ดูเรื่องราวของพวกเธอกันว่ามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อนที่จะคว้าความสำเร็จครั้งใหญ่มาครองได้สำเร็จ

เข้ารอบลึกทัวร์นาเมนต์ใหญ่

ย้อนกลับไปดูผลงานของทัพ "สิงโตสาว" ในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมาในทัวร์นาเมนต์ใหญ่อย่างยูโร หรือ ฟุตบอลโลก พวกเธอต่างเข้ารอบลึกๆ มาตลอด แต่ทว่ายังไม่อาจไปได้สุดทางได้เท่านั้น

อย่างในศึกฟุตบอลโลก 2 ครั้งหลังสามารถกรุยทางเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศได้ แต่ทว่าก็ต้องจอดป้ายเพียงเท่านั้นก่อนซิวอันดับ 3 ในปี 2015 และอันดับ 4 จากครั้งล่าสุดคือ 2019 ส่วนในรายการยูโรเมื่อปี 2017 พวกเธอก็ฝ่าด่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศอีกครั้งแต่ก็มาตกม้าตายพ่าย เนเธอร์แลนด์ ร่วงตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย

ซึ่งถ้ามองในแง่ดีนักเตะในชุดนี้เก็บประสบการณ์เข้ากระเป๋ามาแล้วมากมาย อาจมีปรับเปลี่ยนบางคนในบางตำแหน่ง แต่แกนหลักๆ ที่ช่วยประคองยังอยู่กันครบไม่ว่าจะเป็น ลูซี่ บรอนซ์, เอลเลน ไวต์, จิลล์ สก็อตต์ หรือ ฟราน เคอร์บี้

ฉะนั้นเรื่องของความรู้เข้าขาเข้าใจกันย่อมมีมากเป็นพิเศษ เหมือนมีเวลาเก็บเกี่ยวมาด้วยการตลอดในช่วงหลายปีหลังก่อนจะมาระเบิดฟอร์มจนประสบความสำเร็จครั้งแรกในปีนี้

เรื่องราวทีมหญิงอังกฤษ กับแชมป์ยูโรสมัยแรก

ผลงานรอบแบ่งกลุ่มสุดแจ่ม

ยูโร 2022 คราวนี้ทัพ "สิงโตคำราม" ถูกจับฉลากมาอยู่ในกลุ่ม A ร่วมกับ ออสเตรีย, นอร์เวย์ และ ไอร์แลนด์เหนือ ถ้าว่ากันตามแรงกิ้งพวกเขายังคงเหนือ เพราะรั้งอันดับ 8 ของโลก ส่วนทีมที่อันดับดีสุดรองจากพวกเขาคือ นอร์เวย์ ที่รั้งอันดับ 11 

ซึ่งทีมชาติอังกฤษสามารถรังสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมเกมแรกประเดิมเปิดหัวด้วยการเฉือนเอาชนะ ออสเตรีย ไปได้ 1-0 ต่อด้วยถล่ม นอร์เวย์ ทีมอันดับ 11 ของโลกไปท่วมท้น 8-0 พร้อมแฮตทริกของ เบธ มีด ส่วนเกมนัดสุดท้ายปิดฉากด้วยการถลุง ไอร์แลนด์เหนือ 5-0

จบรอบแรกพวกเขาเก็บ 9 คะแนนเต็มเข้ากระเป๋าพร้อมสถิติยอดเยี่ยมซัดประตูคู่แข่งไปได้ถึง 14 ประตู และไม่โดนเจาะตาข่ายเลยสักตุงเดียวกรุยทางเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปพบกับอีกหนึ่งตัวเต็งของทัวร์นาเมนต์อย่าง ทีมชาติสเปน

รอบน็อกเอาท์เส้นทางสู่แชมป์

อย่างที่กล่าวไปว่าในรอบน็อกเอาท์ 8 ทีมสุดท้ายพวกเธอต้องโคจรมาเจอกับ ซึ่งถือว่าเป็นเกมที่สนุกจบ 90 นาทีเสมอกันอยู่ที่ 1-1 ก่อนที่อังกฤษจะมาได้ จอร์เจีย สแตนเวย์ มาซัดประตูชัยช่วงต่อเวลาปาดหน้าคว้าชัยไปครองได้สำเร็จ โดยพวกเธอจะผ่านเข้าไปพบกับ สวีเดน ทีมอันดับ 2 ของโลก ที่คว้ารองแชมป์โลกมาในช่วง 2 ครั้งหลังสุด

ซึ่งในทัวร์นาเมนต์นี้ทัพ "ไวกิ้ง" ถือว่าผลงานไม่ธรรมดาในรอบแบ่งกลุ่มเก็บไปได้ 7 คะแนน เข้ารอบมาในฐานะอันดับ 1 ของกลุ่ม C ก่อนเฉือนชนะ เบลเยี่ยมในรอบก่อนรองชนะเลิศมาได้ 1-0 ว่ากันตามผลงานต่างๆ ถือว่าเป็นคู่แข่งที่สูสีของทัพ "สิงโตคำราม" ไม่ใช่น้อย

ทว่าพอลงสนามไปจริงๆ กลายเป็นอังกฤษที่เดินหน้าบุกอยู่แทบจะตลอดครองบอลมากถึง 60% ก่อนจบเกมถลุงคู่แข่งไปถึง 4-0 กรุยทางเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ศึกยูโรที่พวกเธอสามารถทำได้

ส่วนในแชมป์รอบชิงชนะเลิศอย่างที่เราทราบกันว่าพวกเธอต้องมาพบกับ เยอรมัน เจ้าของแชมป์รายการนี้ 8 สมัย มากที่สุดของทัวร์นาเมนต์นี้ ซึ่งตลอด 90 นาทีเต็มไปด้วยความดุเดือด และความมันส์ที่อัดแน่นเป็นอย่างมาก ก่อนจะต้องมาหาผู้ชนะกันในช่วงต่อเวลา ซึ่งทางฝั่งทัพ "สิงโตคำราม" มาได้ โคลอี เคลลี มาซัดประตูชัยพาทีมซิวโทรฟี่แชมป์มาครองได้สำเร็จ

กลายเป็นค่ำคืนประวัติศาสตร์ของชาวอังกฤษที่ได้เฉลิมฉลองความสำเร็จในระดับเมเจอร์ครั้งแรกของพวกเขาภายหลังรอคอยมานานกว่า 38 ปี

เรื่องราวทีมหญิงอังกฤษ กับแชมป์ยูโรสมัยแรก

แข้งอนาคตของทัพสิงโต

แน่นอนว่าการคว้าแชมป์ครั้งนี้มันก็เปรียบเสมือนการต่อยอดสู่ทัวร์นาเมนต์ที่กำลังรออยู่อย่างฟุตบอลโลก 2023 ซึ่งครั้งนี้มีนักเตะหลายที่น่าจับตามอง และถูกคาดการณ์กันว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นอนาคตของทัพ "สิงโตสาว" ในอนาคตอันใกล้นี้ได้

เอลลา ทูเน่ (อายุ 22 ปี, กองหน้า)
กองหน้าสาวสวยที่แฟนบอลอาจคุ้นหน้าของเธอเนื่องจากต้นสังกัดปัจจุบันของเธอค้าแข้งอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมหญิง และถือว่าทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมนับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อปี 2018 จาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ผลงานของเธอในทัวร์นาเมนต์ยูโรครั้งนี้ได้โอกาสลงสนามไปทั้งหมด 6 เกม ซัดไปได้ 2 ประตู พ่วงกับอีก 1 แอสซิสต์ ซึ่งด้วยอายุที่เพิ่ง 22 ปี เธอยังคงยกระดับผลงานของตัวเองให้สูงขึ้นกว่านี้ได้อีกแน่ ส่วนกับทีมชาติอังกฤษคงคาดหวัง และฝากความหวังไว้กับเธอได้อย่างแน่นอน

ลีอาห์ วิลเลียมสัน (อายุ 25 ปี, กองหลัง)
ปราการหลังหลังสุดแกร่งของทีมในชุดนี้ พ่วงด้วยการสวมปลอกแขนกัปตันทีม ซึ่งเธอสามารถทำผลงานออกมาได้อย่างน่าชื่นชม เพราะตลอด 6 เกมที่ลงสนาม สามารถช่วยทีมเก็บคลีนชีตได้มากถึง 4 นัด ด้วยกัน

ปัจจุบัน วิลเลียมสัน สังกัดอยู่กับ อาร์เซน่อล ซึ่งเป็นสโมสรที่เธอเข้าร่วมตั้งแต่เป็นเยาวชนอายุ 9 ขวบ ก่อนเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของทีม พร้อมคว้าแชมป์มาแล้วทั้ง วูเมน ซูปเปอร์ลีก, เอฟเอ วูเมน คัพ หรือ เอฟเอ วูเมน ลีก คัพ

อเลสเซีย รุสโซ่ (อายุ 23 ปี, กองกลาง)
มิดฟิลด์ที่คว้ารองดาวซัลโวของทัวร์นาเมนต์ด้วยการซัดไปได้ถึง 4 ประตู พ่วงกับอีก 1 แอสซิสต์ แสดงให้เห็นว่าเป็นแข้งในสไตล์ตัวรุกที่เติมขึ้นไปทำประตูได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจุบันเธออายุ 23 ปี เป็นเด็กฝึกหัดของ ชาร์ลตัน แอธเลติก ก่อนย้ายไป เชลซี แต่ทว่าไม่อาจแจ้งเกิดกับทีมได้จนได้รับโอกาสย้ายไปอยู่กับ ไบร์ทตัน เมื่อปี 2017 ก่อนเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ดึงตัวมาร่วมทีมช่วงปี 2020 ก่อนกลายเป็นกำลังสำคัญของทีมอย่างในฤดูกาลล่าสุดก็ทำไปได้ถึง 11 ประตู จากการลงสนาม 30 เกม

จอร์เจีย สแตนเวย์  (อายุ 23 ปี, กองกลาง)
อีกหนึ่งแข้งแนวรุกที่สามารถขยับใช้งานในบทบาทที่แตกต่างได้ทั้งมิดฟิลด์ตัวรุก หรือยืนเป็นกองหน้าก็ย่อมได้ ในทัวร์นาเมนตยูโรครั้งนี้เจ้าตัวได้รับโอกาสลงสนามไปทั้งหมด 6 เกม ทำไปได้ 2 ประตู

จุดเด่นของเธอคือการจ่ายบอลที่เฉียบคมจากสถิติระบุว่าในศึกชิงเจ้ายุโรปครั้งนี้เจ้าตัวจ่ายบอลเข้าเป้าถึง 87% จากโอกาส 207 ครั้ง สำเร็จ 181 ครั้ง 

นอกจากนั้นยังสามารถถอยลงไปช่วยเกมรับได้อีกด้วย ปัจจุบัน สแตนเวย์ อายุ 23 ปี สังกัด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งถือว่าฝีเท้าของเธอน่าจับตามองเป็นอย่างมาก 

การคว้าแชมป์ของทีม “สิงโตสาว” ในคราวนี้เป็นเหมือนการประกาศให้โลกรู้ว่าตอนนี้วงการฟุตบอลอังกษกำลังเข้าสู่ช่วงยุคทอง จากที่ก่อนหน้านี้ ทีมเยาวชนก็กวาดแชมป์มามากมาย ส่วนทีมชายก็เกือบได้แชมป์ยูโร มาแล้ว

และเมื่อดูจากเส้นทางและอนาคตของทีม “สิงโตสาว” ในการคุมทัพของ ซารินา ไวก์แมน โค้ชสาวใหญ่ชาวดัตช์ พวกเธอมีอนาคตที่น่าสนใจ จากการสร้างปัจจุบันอันน่าทึ่งในคราวนี้ น่าติดตามเลยทีเดียวครับ 
 

- Paolinho -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline