logo-heading

ซึ่งในเกมนัดนี้ก็อย่างที่แฟนบอลได้ทราบผลการแข่งขันกันไปแล้วเป็นทัพ "ราชันชุดขาว" ที่จัดการเดินหน้าไล่อัด แฟร้งค์เฟิร์ต ไปได้ 2-0 คว้าแชมป์มาครองได้อีกสมัย พร้อมเพิ่มสถิติคว้าแชมป์รายการนี้เพิ่มเป็น 5 สมัย เรียบร้อยแล้ว

ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราเลยทำการเก็บตกประเด็นต่างๆ จากเกมเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมามาฝากให้กับทุกท่านได้รับชมกัน จะมีเหตุการณ์เด่นๆ อะไรบ้างนั้นไปติดตามกันได้เลย

การจัดทัพ

เริ่มต้นกันที่ 11 ตัวจริงกันก่อนต้องบอกว่าทางฝั่ง เรอัล มาดริด แม้จะมีการเสริมทัพนักเตะใหม่เข้ามาสู่ทีมทั้ง อันโตนิโอ รูดิเกอร์ หรือ ออเรเลียง ชูอาเมนี่ แต่ทว่า คาร์โล อันเชล็อตติ กลับเลือกใช้งานแผงตัวจริงทั้งหมดจากเกมนัดชิงชนะเลิศศึก แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อซีซั่นแบบยกชุด ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักตำแหน่งเดียว

ส่วนทางฝั่ง แฟร้งค์เฟิร์ต ที่น่าจับตามองคงเป็นแข้งชาวญี่ปุ่นอย่าง ไดอิชิ คามาดะ ที่ได้โอกาสออกสตาร์ทเป็น 11 คนแรก ส่วนในรายอื่นๆ ถือว่าอยู่กันพร้อมหน้าทั้ง ลูกัส ซิลวา เมโล่ ตูต้า, คริสโตเฟอร์ เลนซ์ หรือ ราฟาเอล ซานโตส บอร์เร่ โดยมีตัวทีเด็ดที่ม้านั่งสำรองอย่าง มาริโอ เกิตเซ่ แข้งใหม่ป้ายแดงที่เพิ่งย้ายเข้ามาสู่ทีม
 

หลังเกม มาดริด ฟอร์มสุดแจ่มเอาชนะ แฟร้งค์เฟิร์ต ในศึกซูเปอร์คัพ

มาดริด เดินหน้าบุก

ต้องยอมรับว่าก่อนเกมตามหน้าเสื่อจริงๆ เรอัล มาดริด ถือว่าเป็นต่ออยู่มากพอสมควร ซึ่งพอลงสนามไปเมื่อทุกอย่างก็เริ่มอยู่ในการครอบครองของพวกเขาอย่างชัดเจน แม้โอกาสแรก และโอกาสทองของ แฟร้งค์เฟิร์ต จะเกิดขึ้นก่อนตั้งแต่ต้นเกมจาก คามาดะ ที่ได้โอกาสหลุดเข้าไปยิง แต่ทว่าดันติดเซฟของ ติโบ คูร์ตัวส์ ไม่เช่นนั้นอาจเป็นจุดเปลี่ยนโฉมหน้าของเกมไปเลยก็เป็นได้

ส่วนหลังจากนั้นกลายเป็นเกมแบบ "วัน-เวย์" มาดริด เดินหน้าใส่เกียร์ห้าบุกแทบจะฝ่ายเดียว จากสถิติพวกเขาครองบอล 58% แถมโอกาสเข้าทำแบบได้น้ำได้เนื้อมากกว่า ก่อนมาประสบความสำเร็จในช่วงปลายครึ่งแรกกลายเป็นการปลดล็อค และทำให้หลังจากนั้นพวกเขาเล่นง่าย และผ่อนคลายขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลัง

ทั้งนี้หนึ่งในนักเตะที่ทำผลงานโดดเด่นจากเกมเมื่อค่ำคืนคงตกยกให้ คาร์เซมิโร่ กองกลางจากทัพ "ราชันชุดขาว" ที่นิ่งสยบทุกความเคลื่อนไหวอย่างแท้จริง ทั้งการออกบอล, ตัดเกม รวมไปถึงเป็นคนแอสซิสต์ให้ ดาบิด อลาบา ทำประตูขึ้นนำได้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นคนสำคัญในแดนกลางของทีมอย่างแท้จริง

เบนเซม่า ยังร้อนแรง 

"ยิงอีกแล้ว!!" นี่คงเป็นวลีที่เอาออกมาใช้และเข้ากับสถานการณ์ของ คาริม เบนเซม่า มากที่สุดในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ย้อนกลับไปเมื่อฤดูกาลก่อนนี่คือดาวยิงที่ร้อนแรงมากที่สุดคนหนึ่งในวงการลูกหนัง แม้อายุจะใกล้แตะหลัก 354 ปี แต่กลายเป็นว่ายิ่งแก่กูยิ่งเก๋าทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำมากขึ้นเรื่อยๆ

ซีซั่นที่แล้ว "พี่เบนซ์" จัดการสอยประตูคู่แข่งในทุกรายการไปมากถึง 44 ประตู จากการลงสนามทุกรายการ 46 นัด พร้อมพา เรอัล มาดริด คว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้งลาลีกา สเปน และ แชมเปี้ยนส์ลีก มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่

ส่วนฤดูกาลนี้เจ้าตัวออกสตารท์ด้วยการทำประตูได้อีกครั้ง พร้อมผลงานที่ยอดเยี่ยม ในเกมที่ดวลกับ แฟร้งค์เฟิร์ต เบนเซม่า มีโอกาสง้างเท้ายิงทั้งหมด 4 ครั้ง ตรงกรอบครั้งเดียวแต่นั้นสามารถแปรเปลี่ยนเป็นประตูได้ทันที 

ซึ่งหลังเกมเว็บไซต์ Whoscored ให้คะแนนเรตติ้งมากถึง 7.3 เป็นรองเพียง คาร์เซมิโร่ เพียงคนเดียวเท่านั้น

ฉะนั้นแล้วด้วยผลงานที่ผ่านมา รวมไปถึงความสำเร็จล่าสุดไม่แปลกที่ ณ วินาทีชื่อของ คาริม เบนเซม่า ยังคงถูกยกให้เป็นเต็ง 1 กับโอกาสที่จะคว้ารางวัลส่วนตัวอย่างบัลลง ดอร์ มาครอบครองเอาไว้

หลังเกม มาดริด ฟอร์มสุดแจ่มเอาชนะ แฟร้งค์เฟิร์ต ในศึกซูเปอร์คัพ

แชมป์สมัยที่ 5 ของ มาดริด

เรอัล มาดริด กลายเป็นทีมที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้าแชมป์ ซูเปอร์ คัพ มาครองได้ 5 สมัย ซึ่งมากที่สุดร่วมกับ บาร์เซโลน่า และ เอซี มิลาน ซึ่งจากจำนวนทั้งหมดพวกเขาคว้ามาครองได้ในปี 2002, 2014, 2016, 2017 และ 2022 

นอกจากนั้นในตัวกุนซืออย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ ยังทำสถิติกลายเป็นผู้จัดการทีมที่คว้าแชมป์รายการนี้ได้มากที่สุดจำนวน 4 ครั้ง แบ่งเป็นกับ มาดริด 2 ครั้ง มิลาน 2 ครั้ง แซงหน้า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ขึ้นแท่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ซึ่งหลังจากนี้ก็ต้องมาติดตามกันว่า เรอัล มาดริด จะเดินหน้าสร้างสถิติใหม่ๆ อะไรเกิดขึ้นอีกบ้าง เพราะถ้าดูจากผลงานที่ผ่านมา มาตรฐานที่พวกเขาตั้งเอาไว้นั้นมีโอกาสสูงเหลือเกินที่พุ่งชนกับความสำเร็จได้อีกครั้ง

สุดท้ายขอแสดงความยินดีกับสาวก "ราชันชุดขาว" กับตำแหน่งแชมป์ ซูเปอร์คัพ สมัยล่าสุดด้วยนะครับ

- Paolinho -

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมของ ขอบสนาม
logoline