ซึ่งตลอด 90 นาทีในเกมดังกล่าวมีประเด็นไหนบ้างที่น่าสนใจ ว่าแล้ว ขอบสนาม ของเราก็ได้รวบรวมมาให้ทุกท่านได้รับชมกันแล้ว จะมีอะไรบ้างไปติดจามกันได้เลย
การจัดทัพ
ข่าวดีก่อนเกมนี้ของเหล่า "เดอะ ค็อป" คือการได้นักเตะแกนหลักกลับมาสู่ทีมอีกครั้งทั้ง โจแอล มาติป, ติอาโก้ อัลกันทาร่า หรือ ดิโอโก้ โชต้า
แน่นอนว่าการกลับมาของพวกเขาย่อมส่งผลดีต่อทีมเอามากๆ ทำให้แดนหลังแข็งแกร่งมากขึ้น และโดยเฉพาะ ติอาโก้ ที่ช่วยให้แดนกลางของทีมพลิกโฉมไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ส่วน โชต้า กลับมาพร้อมได้โอกาสออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในทันที เบียดทั้ง ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าคนใหม่ที่ผลงานยังไม่ค่อยเข้าฝักเท่าไหร่นัก ส่วน โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ อาจมีผลงานดีในช่วงหลัง แต่ทว่าความสม่ำเสมอยังเป็นเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่สำหรับเขา
สำหรับตำแหน่งอื่นๆ ก็ไม่ได้ปรับอะไรมากนัก เวอร์จิล ฟาน ไดค์, คอสตาส ซิมิคาส, ฟาบินโญ่ หรือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยังคงเป็นตัวจริงตามเดิม
ข้ามมาที่ฝั่ง อาแจ็กซ์ ก็ขนนักเตะตัวหลักลงสนามกันเต็มอัตราศึกแนวรับนำมาโดย ยูเรียน ทิมเบอร์ กับ ดาเลย์ บลินด์ แดนกลาง เอ็ดสัน อัลวาเรซ ทำเกมกับ เคนเนธ เทย์เลอร์ ส่วนตัวรุกด้านบนน่าสนใจคือ โมฮัมเหม็ด คูดุส กองหน้าวัย 22 ปี ที่ผลงานกำลังร้อนแรงซัดไป 5 ประตู จาก 8 เกมก่อนลงสนามในเกมนี้
หงส์แดง โอกาส (โคตร) เยอะ
หนึ่งในสิ่งที่เปลี่ยนไปในเกมนี้ของ ลิเวอร์พูล คือความกระหายที่กลับมาเอ่อล้นอีกครั้ง ภายหลัง 2 เกมหลังสุดโดนวิจารณ์ไปไม่น้อยทั้งจากเกมเสมอ เอฟเวอร์ตัน และบุกไปพ่าย นาโปลี เละเทะเมื่อสัปดาห์ก่อน
บวกกับการได้นักเตะตัวหลักกลับมากลายเป็นการยกระดับการเล่นของตัวเองไปอีกขั้น โดยเฉพาะเกมแดนกลางการคืนสู่สนามของ ติอาโก้ ทำให้เกมไหลลื่นมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีจังหวะออกบอลที่สามารถคาดหวังผลได้ กลายเป็นลบคำถามมากมายจากเกมก่อนหน้าไปได้ทั้งหมดเรื่องแดนกลางที่สู้รบกับคู่ต่อสู้ไม่ได้
รวมไปถึงกองหน้าการมี ดิโอโก้ โชต้า กลายเป็นจิ๊กซอว์สำคัญอีกทั้งยังมีส่วนร่วมกับประตูขึ้นนำ 1-0 ของทีมอีกด้วย
สถิติหลังจบเกมบอกว่า "หงส์แดง" มีโอกาสทำประตูมากถึง 24 ครั้ง ทว่าจากจำนวนดังกล่าวตรงกรอบเพียง 10 ครั้ง และแปรเปลี่ยนเป็น 2 ประตู ซึ่งแน่นอนตัวเลขดังกล่าวมันบอกได้เลยว่าประสิทธิภาพเกมรุกของทีมใช้โอกาสเปลืองมากพอสมควร ยังคงต้องปรับปรุงให้มีความเด็ดขาดที่มากกว่านี้
เพราะมันไม่ใช่เพียงแค่คุณจะรังสรรค์เกมรุกได้ดีมีโอกาสจบสกอร์ แต่มันเป็นที่ยังเปิดโอกาสให้คู่แข่งสามารถกลับสู่ทีมได้ตลอดเวลา เรียกง่ายๆ ว่า ฆ่าไม่ตายนั้นเอง ซึ่ง อาแจ็กซ์ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพร้อมเล่นงานเจ้าบ้านในทุกจังหวะที่สามารถทำได้ ยังดีที่ ลิเวอร์พูล เอาตัวรอดคว้าชัยชนะได้สำเร็จจากประตูท้ายเกมของ โจแอล มาติป
มาติป ฮีโร่ชาวหงส์
เซ็นเตอร์ฮาร์ฟวัย 31 ปี กลับลงสู่สนามอีกครั้ง แน่นอนว่ามันย่อมช่วยให้แฟนบอลอุ่นใจมากขึ้นกว่าเดิม เพราะหลังบ้านในช่วงที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าปวกเปียก และพร้อมเสียประตูตลอดเวลา
อีกทั้งการเติมขึ้นมาโขกประตูชัยช่วงท้ายเกมดูเหมือนจะกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของเจ้าตัวไปแล้ว และมันมาในช่วงเวลาที่เหมาะเหม็งดีเหลือเกิน นอกจากจะช่วยให้ทีมคว้า 3 คะแนนแล้วยังส่งผลต่อเรื่องความมั่นใจในทีมที่ช่วงที่ผ่านมาย่ำแย่พอสมควรทั้งเรื่องผลการแข่งขัน และผลงานในสนามที่ดูไม่ค่อยสวยงามมากนัก
โดยสถิติหลังจบเกมบ่งบอกว่า มาติป มีโอกาสทำประตูเท่ากับเหล่ากองหน้าของทีมทั้ง ซาลาห์, ดิอ๊าซ หรือ โชต้า ที่จำนวน 3 ครั้ง กลายเป็นว่า 10 ประตูที่เขาทำให้ ลิเวอร์พูล จาก 10 เกมทีมไม่เคยเจอกับความพ่ายแพ้เลยแบ่งเป็นชนะ 9 และ เสมอ 1 นัด
ด้วยผลงานการคัมแบ็คที่ส่งผลบวกต่อทีมอย่างชัดเจน เชื่อว่าแฟนบอล ลิเวอร์พูล เองอยากให้ภาวนาให้พี่แกอย่าได้เจ็บ ได้ป่วยอีกเลย เพราะมันส่งผลต่อทีมมากจริงๆ
ฟุตบอลของ คล็อปป์ กลับมาแล้ว
อย่างที่กล่าวไปว่าเกมนี้นักเตะ ลิเวอร์พูล ลงไปเล่นด้วยความกระตือรือร้นที่มากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ คงกล่าวกระตุ้นอะไรบางอย่างกับนักเตะ หลังในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเหมือนมรสุมลูกใหญ่ปกคลุมแอนฟิลด์มาตลอด
ฉะนั้นเกมกับ อาแจ็กซ์ เราถึงได้เห็นความเดือดดาลในการวิ่งไล่บดขยี้คู่แข่งในสไตล์ฟุตบอลของ คล็อปป์ อีกครั้ง พยายามเข้าทำให้เร็ว
ส่วนจังหวะที่คู่แข่งครอบครองบอลก็จะทะยานบีบจนให้พวกเขาผิดพลาดกันไปเอง สังเกตุได้เลยว่าคู่แข่งจากเวทีลีกดัตซ์แทบไม่ได้ครองบอลสร้างจังหวะ หรือสร้างความกังวลให้ลูกทีมของ คล็อปป์ มากเท่าไหร่นัก
แต่ทว่าปัญหาที่จะต้องปรับแก้คือจังหวะจบสุดท้ายที่ยังไม่เฉียบขาดมากพอ แต่ในเมื่อทุกอย่างมันกลับมาเป็นฟุตบอลในรูปแบบที่คุ้นเคยอีกครั้ง บวกกับอาวุธแดนหน้าที่ยังมีให้เลือกใช้ และหมุนเวียนตามสถานการณ์
ลิเวอร์พูล ที่คุ้นเคย และฟุตบอลในแบบ คล็อปป์ ที่คุ้นตาได้กลับมาแล้ว
- Paolinho -